Social Platform เครื่องมือปลุก "ม๊อบ" ยุคดิจิทัล
จำนวน 160 คาแรกเตอรฺ์ บนโซเชียล แพล็ตฟอร์ม ทีถูกส่งต่อกระจายออกไปในเสี้ยววินาที แต่ทรงพลังเหลือหลาย ด้วยสามารถเข้ายึดพื้นที่ความคิดกลุ่มคนรุ่นใหม่ ให้มารวมตัวกันได้บนท้องถนน
แม้จากการแถลงสรุปตัวเลข “จำนวนเนื้อหา” ที่เข้าข่ายผิดกฎหมายตามตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และแก้ไขเพิ่มเติมปี 2560 และ พ.ร.ก.กำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ซึ่งศูนย์เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์การชุมนุม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) รวบรวมไว้ในช่วง 1 สัปดาห์แห่งความร้อนแรงของสถานการณ์ชุมนุม (วันที่ 13 – 18 ต.ค. 2563) จำนวน 324,990 เรื่องนั้น
สัดส่วนหลักจะเกิดขึ้นในเฟซบุ๊กถึง 245,678 เรื่อง ตามมาด้วยทวิตเตอร์ 75,076 เรื่อง และเว็บบอร์ด 4,236 เรื่อง
แต่หากมีการเจาะลึกลงไปถึงแก่นของ “อิทธิพล” ที่ส่งต่อให้พลังม็อบซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่คือ “เยาวชน” เกาะกลุ่มและเหนียวแน่นในความเชื่อความคิดที่ว่า “ต้องออกมาแสดงพลัง” ก็คือ ข้อความสั้นๆ แค่ไม่เกิน 160 ตัวอักษรในทวิตเตอร์ ที่แพร่กระจายกันอยู่ในโลกของชาวทวิตภพนั่นเอง
ด้วยประโยคสั้น-โดน-เข้าปาก ที่ติดแฮชแท็ก กระตุ้นความฮึกเหิมได้ง่าย อ่านจบเร็ว รีทวีตไว กระจายข้อความออกไปในเสี้ยววินาที
จากม็อบมือถือขยับสู่แพลตฟอร์มออนไลน์
ปรากฏการณ์นี้อาจเรียกได้ว่าเป็นพัฒนาการต่อเนื่องจาก “ม็อบมือถือ” ซึ่งเป็นคำที่ถูกบัญญัติขึ้นจากเหตุการณ์ชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองเมื่อปี 2535 หรือเกือบ 30 ปีมาแล้ว เพราะเป็นม็อบที่ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ใช้โทรศัพท์มือถือในการติดต่อสื่อสาร ชักชวน แจ้งข่าวกัน (ตามศักยภาพของเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือ ณ เวลานั้นที่มีความสามารถแค่การโทรเข้าออก)
และเมื่อวิวัฒนาการของเทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของแทบทุกกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ทำให้รูปแบบการใช้งาน “มือถือ” ของชาวม็อบในยุคต่อๆ มาก็หลากหลายและทวีพลังในการระดมมวลชนตามไปด้วย โดยเฉพาะเมื่อมาถึงวันนี้จำนวนประชากรออนไลน์/โซเชียล ครอบครองสัดส่วนเกินครึ่งโลกจริงใบนี้
ช่วงต้นปี 2563 ได้มีการเผยแพร่รายงานประจำปี “Digital 2020” ที่จัดทำร่วมกันระหว่าง We Are Social และ Hootsuite ระบุว่าปัจจุบันประชากรโลกเกือบ 60% กลายเป็นชาวออนไลน์ไปเรียบร้อยแล้ว โดยทั่วโลกมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากกว่า 4,500 ล้านคน ขณะที่ถ้าเจาะเฉพาะการใช้งานโซเชียลมีเดียก็มีจำนวนสูงถึง 3,800 ล้านคน และยังมีแนวโน้มขยายจำนวนครอบครองพื้นที่เกินครึ่งหนึ่งของโลกใบจริงก่อนสิ้นปีนี้แน่นอน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงกลุ่มคนที่อยู่ในช่วงวัย "ฮอร์โมน" ขุมพลังหลักของมวลชนชาวม็อบ 3 นิ้ว ซึ่งเกิดและเติบโตมาพร้อมความคุ้นเคยกับอินเทอร์เน็ต สมาร์ทโฟนจอสัมผัส (ที่เริ่มแพร่หลายความนิยมใช้งานทั่วโลกเมื่อปี 2550) และแอพโซเชียลที่ร้อยรัดอยู่รอบตัว (ถ้าขอนับจากเฟซบุ๊กที่สมาชิกเยอะสุด ก็จะเริ่มตั้งแต่ปี 2547 แต่เริ่มเฟื่องฟูจริงก็ด้วยอานิสงค์มือถือทัชสกรีนหลังปี 2550 เป็นต้นมา) ซึ่งทำให้สะดวกในการติดต่อสื่อสาร แพร่กระจายความคิดไปสู่คนวงกว้าง
ด้วยหลักการง่ายๆ คือ เริ่มจากกลุ่มคอมมูนิตี้เดียวกัน แชร์ต่อ ขยายการเข้าถึง และด้วยปัจจัยทางหลักจิตวิทยา (เห็นถี่ๆ ได้ยินซ้ำๆ) ผนวกกับความคิด/ความเชื่อส่วนตัวที่สอดคล้องไปในทางเดียวกัน ทำให้เกิด “ไวรัล” และแรงจูงใจได้อย่างง่ายดายในการชักชวนระดมพลมาทำกิจกรรมกลุ่ม(ใหญ่มาก)
จนนำมาซึ่งความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ม็อบ 3 นิ้วในประเทศไทย ณ เวลานี้ คือการใช้ยุทธศาสตร์สงครามโซเชียล (Social War) เต็มรูปแบบ ระหว่างคนรุ่นเก่า กับเด็กรุ่นใหม่ที่เป็น Gen-Social การพูดคุยด้วยภาษาเดียวกันในโซเชียลผ่านเครือข่ายออนไลน์ จึงนำมาสู่การชวนกันมาสร้างประสบการณ์ร่วมกัน “บนถนน” นอกบ้านเพื่อเรียกร้องให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตัวเองเชื่อ, เพื่อนชาวโซเชียลในคอมมูนิตี้เดียวกันเชื่อ
มีข้อมูลน่าสนใจจาก The Flight 19 Agency ซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือนเมษายน 2563 จัดทำสรุปข้อมูลผู้ใช้งานแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียหลักๆ ของคนไทย ครอบคลุม เฟซบุ๊ก, ทวิตเตอร์, อินสตาแกรม, ยูทูบ, ติ๊กต๊อก และไลน์ ทั้งจำนวนผู้ใช้งาน กลุ่มอายุหลัก และสัดส่วนระหว่างผู้ชายและผู้หญิงในแต่ละแพลตฟอร์มไว้ดังภาพประกอบต่อไปนี้
ทำไม? มีพลังและจุดชนวนสู่ม๊อบมวลชนจริงบนถนน
หลายคนที่ติดตามความเคลื่อนไหวของข่าวม็อบ น่าจะสังเกตเห็น “จุดร่วม” ระหว่างม็อบฮ่องกง และม็อบ 3 นิ้วในประเทศไทย จึงไม่แปลกใจที่มีนักวิเคราะห์การเมืองหลายท่าน/หลายกลุ่ม เชื่อมโยงวิถีแห่งการสร้างรูปแบบการชุมนุมแบบดาวกระจาย ประกาศให้ทุกคนเป็นแกนนำ ไม่ต้องยึดโยงกับแกนนำ(ตัวจริง) จัดรูปแบบกิจกรรมการชุมนุมตามเสียงโหวตจากสมาชิกชาวม็อบผ่านโซเชียล โดยเปรียบเทียบกับหลักการของเทคโนโลยีบล็อกเชน
ทั้งนี้ ขออนุญาตหยิบยกคำอธิบายจากบทความหนึ่งในเว็บไซต์ของ Ahead Asia (https://ahead.asia/2020/08/28/blockchain-pop-culture-touchscreen-native/)ที่ช่วยให้เข้าใจได้อย่างเห็นภาพ ดังนี้ “การขับเคลื่อนของผู้เข้าร่วม ตั้งอยู่บนแนวคิดกระจายอำนาจ (decentralized) ที่เป็นหลักการของเทคโนโลยีบล็อกเชน ด้วยการแบ่ง/ส่งต่ออำนาจการตัดสินใจไปสู่คนหมู่มาก เพราะเมื่อทุกคนเป็นศูนย์กลาง และมีอำนาจในการตัดสินใจแต่ละเรื่องด้วยตัวเอง การตรวจสอบระหว่างกันก็จะทำได้ง่ายกว่า และเห็นภาพชัดเจนว่าเสียงส่วนใหญ่ในการตัดสินใจแต่ละเรื่องเป็นอย่างไร”
แนวคิดนี้สร้างให้เกิดรูปแบบการชุมนุมโดยไม่มีแกนนำเป็นตัวเป็นตน (Leaderless Movements) แต่รวบรวมผู้คนจำนวนมากได้ เพราะมีเป้าหมายและความเชื่อบางอย่างที่ตรงกัน และในอีกแง่มุมหนึ่ง การกระจายอำนาจเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมมีอำนาจในมืออย่างเต็มที่ อีกทั้งเป็นการปิดจุดอ่อนจากรูปแบบการชุมนุมประท้วงเดิมๆ แบบรวมศูนย์อำนาจ (centralized) ยึดโยงอยู่กับแกนนำหลัก เมื่อเกิดความผิดพลาด ก็จะกระทบเครือข่ายการชุมนุมทั้งหมด
ปิดแพล็ตฟอร์มโซเชียลแล้ว ไปแอปฯไหนต่อ
อย่างไรก็ตาม ขณะที่ กระแสกดดันแพลตฟอร์มออนไลน์ ด้วยคำสั่งศาลตามกฎหมายประเทศไทย เพื่อให้ร่วมมือปิดกั้น/ลบเนื้อหาผิดละเมิดกฎหมาย ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวในการหา “แอปติดต่อสื่อสาร” ที่เป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้(นัด)ชุมนุม ดังนั้นในเร็วๆ นึ้คนไทยคงจะได้คุ้นเคยกับชื่อ Telegram (เทเลแกรม) แอปยอดนิยมของชาวม็อบฮ่องกง และจะเป็นอีกครั้งที่ Telegram ส่งผ่านความแรงจากรัสเซีย(ประเทศต้นกำเนิด) เพื่อเข้ามา landing ที่เมืองไทย
สำหรับ Telegram เป็นแอปพลิเคชันรับ-ส่งข้อความ มีลักษณะใกล้เคียงกับแอปพลิเคชั่นชื่อดังอย่าง WhatsApp ถือกำเนิดขึ้นที่รัสเซีย จุดเด่นคือ บริษัทผู้พัฒนายืนยันว่าจะไม่มีการอ่านข้อความของผู้ใช้งาน ไม่เก็บข้อมูลส่วนตัว/ข้อมูลการสนทนา ไม่มีนโยบายส่งข้อมูลให้ใครหรือรัฐบาลประเทศไหน ความปลอดภัยสูงเพราะเป็นโปรแกรมส่งข้อความแบบเข้ารหัสสองทาง ดังนั้นบริษัทผู้พัฒนาก็ไม่สามารถรู้ข้อความระหว่างผู้ส่งและผู้รับได้แน่นอน
แอปนี้โด่งดังในหมู่นักเคลื่อนไหว จากการเป็นที่ไว้วางใจของม็อบฮ่องกง ผู้ชุมนุมซึ่งเติบโตและคุ้นเคยมากับดิจิทัล เลือกใช้แอปนี้ ในการส่งข้อความคุยกัน เพราะเชื่อว่ามีความปลอดภัยทางไซเบอร์มากกว่า และมีจำนวนผู้เข้าร่วมพูดคุยกันในแชทได้มากกว่า Whatsapp ซึ่งเป็นแอปสนทนาที่ชาวฮ่องกงนิยมใช้งาน
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 63 กลุ่มเยาวชนปลดแอกแจ้งเปลี่ยนแปลงการกระจายข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการชุมนุมมาผ่านช่องทาง Telegram เพื่อรับมือกระแสข่าวสั่งปิดเฟซบุ๊กเพจของกลุ่ม และมียอดแอดเข้าเป็นสมาชิกในแอปกลุ่มสูงถึง 160,000 แอคเคาน์
ช่วงบ่ายวันต่อมา ก็มีหนังสือคำสั่งหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง 11/2563 ให้ กสทช.ระงับการการใช้แอปพลิเคชัน Telegram ซึ่งชาวเยาวชนปลดแอกก็ไม่หวั่นไหว และแย้มๆ ผ่านหน้าเพจว่าจะมีแอปใหม่รองรับการนัดหมายชุมนุมต่อแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมาของวันที่ 19 ต.ค. 63 ผู้เขียนได้ลองเข้าไปใช้งาน Telegram ติดตามข่าวสารอัพเดทเกี่ยวการชุมนุม พบว่ายังสามารถใช้งานได้เป็นปกติ เช่นเดียวกับเฟซบุ๊กเพจของกลุ่มเยาวชนปลดแอก ก็ยังไม่มีการปิดกั้นการเข้าถึงหรือปิดเพจ
ส่วนบทสรุปการชุมนุม ม๊อบ โซเชีบล ในครั้งนี้ ยังต้องจับตาดูกันต่อไปว่าฝั่งไหน?!? จะโดนแกงก่อนกัน ด้วยแต่ละวันเป็นการดำเนืนกิจกรรม ที่มีการสับขาหลอกเสมอ