อิชิตัน เปิดเกมใหม่ ลุยเครื่องดื่ม-ขบเคี้ยว เพื่อสุขภาพ

นาย ตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กระแสสุขภาพ ยังเป็น “เทรนด์” สำคัญในการทำตลาด โดยเฉพาะจากการแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภค หันมาตระหนักถึงการดูแลสุขภาพของตัวเอง และ คนใกล้ชิด มากขึ้น

โดยบริษัทมองเห็นโอกาสทางการตลาด พร้อมเปิดตัวสินค้าในกลุ่มสุขภาพ ผ่านเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยว 2 แบรนด์ใหม่ คือ แบรนด์ ‘PH PLUS 8.5’ เครื่องดื่มน้ำอัลคาไลน์ ผสมวิตามินบีรวม ที่มีฤทธิ์ด่างอ่อน ด้วยค่า PH 8.5  เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจดูแลตัวเอง

“เทรนด์การดื่มน้ำ PH ที่มีคุณสมบัติเป็นด่าง ได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศญี่ปุ่นและไต้หวันจากจำนวนผู้เล่นและมูลค่าตลาดที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยผู้บริโภคส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนเมืองและคนที่ให้ความสำคัญต่อการดูแลสุขภาพจากภายใน” นายตัน กล่าว

ทั้งนี้ อิชิตัน ได้นำเข้าเทคโนโลยีที่ได้รับลิขสิทธิ์จากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาใช้ในการผลิตน้ำดื่มแบรนด์ดังกล่าว เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับผู้บริโภค ด้วยคุณประโยชน์จากวิตามินบีรวม คือ วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 และวิตามินบี 9

สำหรับ น้ำดื่ม PH PLUS 8.5 ขนาดบรรจุ 550 มล. วางจำหน่ายช่องทางร้านค้าปลีก ทั่วประเทศ ในราคาขวดละ 20 บาท โดยสินค้าดังกล่าว วางเป้าหมายอยู่ที่1,000 ล้านบาท ในปีแรก

นายตัน กล่าวว่า นอกจากนี้ บริษัทยังได้ขยายธุรกิจใหม่ ตามแผนที่วางไว้ในส่วนของกลุ่มงานธุรกิจใหม่ (New Business) โดยสินค้าตัวแรก คือ นมอัดเม็ด แบรนด์ “วันมอร์” (OneMorr) พร้อมคุณประโยชน์จากแคลเซียม และดีเอชเอ เพื่อตอบรับเทรนด์สุขภาพสำหรับเด็ก

สำหรับ วันมอร์ ผลิตจากนมแคลเซียมสูง นำเข้าจากประเทศนิวซีแลนด์ และไม่ผสมครีมเทียม ทำตลาดภายใต้แนวคิด “ขนมที่ลูกรักแม่เลือก”เพื่อยกระดับ อิชิตัน กรุ๊ป ให้เป็นมากกว่าบริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่ม และ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันจากความหลากหลายทางธุรกิจ

“อิชิตัน มองว่า นมอัดเม็ด ของไทย จะเป็นสินค้ายอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และมีโอกาสสูงในการขยายไปตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV และประเทศจีน” นายตัน กล่าว

สำหรับ นมอัดเม็ด วันมอร์ มี 2 รสชาติ ได้แก่ รสหวาน (ต้นตำรับ) และรสช็อกโกแลต ขนาดบรรจุ 10 กรัม และ 20 กรัม ในราคา 10 บาท วางจำหน่ายร้านค้าทั่วประเทศ

ทั้งนี้ บริษัทวางเป้าหมายเบื้องต้น คือ สร้างแบรนด์วันมอร์ ให้เป็นที่รู้จักโดยเฉพาะในกลุ่มแม่และเด็ก และในกลุ่มผู้ชื่นชอบขนมขบเคี้ยวที่มีประโยชน์ ต่อสุขภาพ คาดว่าภายในปี 2563 จะสามารถทำยอดขายได้มากกว่า 50 ล้านบาทเฉพาะตลาดภายในประเทศ และมีส่วนแบ่งตลาด 15% พร้อมแผนขยายตลาดไปสู่ CLMV จีน และอินโดนีเชีย