posttoday

สศอ.คิดบวก ไทยถูกตัดจีเอสพีกระทบส่งออกแค่ 0.5% มองลงทุนเอกชนสัญญาณยังดี

02 กุมภาพันธ์ 2563

สศอ.ระบุ กลุ่มสินค้าส่งออกที่ถูกตัดจีเอสพี ไม่มีผลกระทบต่อภาพรวมส่งออกปี'63 จับตาแนวโน้มการลงทุนเอกชน ขยายตัว 3.9 % ขยายตัวในเกณฑ์ดีตามปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญ

นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า การส่งออกในปี 2563 สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประมาณการว่าปี 2563 มูลค่าการส่งออกในรูปเงินเหรียญสหรัฐจะขยายตัวร้อยละ 2.74 ทั้งนี้ในประเด็นของผลกระทบจากการถูกระงับสิทธิพิเศษทางการค้า (จีเอสพี)ในตลาดสหรัฐฯ นั้น วันที่ 25 เมษายน 2563 ซึ่งเป็นวันที่จะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ หากไทยถูกระงับสิทธิพิเศษทางการค้า (จีเอสพี) จะส่งผลกระทบต่อสินค้าส่งออกที่มีการพึ่งพาสิทธิ จีเอสพี แต่ผลกระทบในภาพรวมจะไม่สูง โดยสินค้าที่โดนตัดสิทธิ จีเอสพี ในรอบนี้คิดเป็นเพียงประมาณ 0.5% ของการส่งออกรวมของไทย

ทั้งนี้ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและการแข็งค่าที่ต่อเนื่องของเงินบาทจะเป็นปัจจัยที่สำคัญกว่าที่กดดันธุรกิจส่งออก โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กที่มีศักยภาพในการปรับตัวต่ำ

อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่อาจจะได้รับผลกระทบ อาทิ กลุ่มเซรามิก กลุ่มเคมีภัณฑ์ กลุ่มไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มเหล็ก ภาครัฐเองได้มีการเชิญภาคเอกชนในกลุ่มดังกล่าว มาหารือเพื่อหาแนวทางรองรับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการถูกตัดสิทธิ จีเอสพี ซึ่งเป็นการดำเนินการควบคู่ไปกับการเจรจา กับสหรัฐฯ ในการขอคืนสิทธิ

ด้านการบริโภคภาคเอกชน ในปี 2563 ราคาสินค้าเกษตรสำคัญหลายตัวมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2562 อาทิ ยางพารา ราคายางอาจปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากปัญหาโรคใบร่วงที่ระบาดในประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และบางพื้นที่ของไทย ทำให้ปริมาณผลผลิตโลกรวมลดลง ราคายางในตลาดโลกจึงอาจปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับมาตรการส่งเสริมอุปสงค์การใช้ยางในประเทศและสัญญาการค้ายางล่วงหน้าที่จะช่วยพยุงราคายางได้ หรือในปาล์มน้ำมันที่ราคาน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นผลจากมาตรการเพื่อดูดซับอุปทานส่วนเกินผ่านกลไก

การสนับสนุนการใช้น้ำมันไบโอดีเซล B10 ในประเทศ ทำให้ราคาปาล์มมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากช่วงปลายปี 2562 อีกทั้งยังคงมีปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันปาล์มดิบโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น

นอกจากนี้การส่งออกพืชและผลิตภัณฑ์ในปี 2563 หลายรายการที่คาดว่าจะอยู่ในเกณฑ์ดี ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ ลำไยและผลิตภัณฑ์ ทุเรียนและผลิตภัณฑ์ มังคุด เงาะ และผลิตภัณฑ์ เนื่องจากสินค้าไทยมีคุณภาพดีและเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศ รวมถึงมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบการบริหารเศรษฐกิจที่สำคัญ อาทิ มาตรการบรรเทาค่าครองชีพผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและกองทุนหมู่บ้าน มาตรการเพื่อบรรเทาค่าครองชีพสำหรับเกษตรกรผู้ประสบภัยแล้งและเกษตรกรรายย่อย มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ “ชิมช้อปใช้”ทั้งหมดนี้น่าจะช่วยให้การบริโภคภาคเอกชน ในปี 2563 ขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี

นายทองชัย กล่าวว่า แนวโน้มการลงทุนภาคเอกชน ปี 2563 การลงทุนภาคเอกชน จะขยายตัว 3.9% และการลงทุนภาครัฐจะขยายตัว 5.07% โดยการลงทุนภาคเอกชนยังมีแนวโน้มขยายตัวในเกณฑ์ดีตามปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญ ๆ ได้แก่ 1. การเพิ่มขึ้นของมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนที่ขยายตัว 42.4% ในปี 2561 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งมีมูลค่าขอรับการส่งเสริมการลงทุนขยายตัวสูง 137.4 %ในปี 2561 และ 75.1% ในไตรมาสที่สามของปี 2562 โดยมูลค่าขอรับการส่งเสริมการลงทุนดังกล่าวน่าจะได้เห็นการลงทุนจริงและมีการก่อสร้างโรงงาน การซื้อเครื่องจักรต่าง ๆ ในปี 2563

2. ปัจจัยเพิ่มเติมจากการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติเพื่อลดผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่มีความชัดเจนมากขึ้น โดยนักลงทุนบางส่วนได้เริ่มย้ายฐานการผลิตเข้ามายังประเทศไทยและมีการลงทุนจริงมากขึ้น รวมทั้งการดำเนินนโยบายส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ อาทิ มาตรการรองรับการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติ (Thailand Plus Package) และมาตรการสนับสนุนด้านสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการภาคธุรกิจ

นอกจากนี้ข้อมูลจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม ในปี 2562 เงินทุนของการประกอบและขยายกิจการโรงงานมีจำนวน 483,860.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 31.47% อุตสาหกรรมที่สำคัญ อาทิ ผลิตภัณฑ์โลหะ อุตสาหกรรมอาหาร ผลิตภัณฑ์จาก ปิโตรเลียม ข้อมูลเชิงประจักษ์ดังกล่าวจึงเป็นข้อมูลสำคัญที่สะท้อนว่า ในปัจจุบัน นักลงทุนยังคงมีความเชื่อมั่น ต่อประเทศไทย