เร่งยกเครื่องขสมก. 'บิ๊กตู่'กำชับต้องเคลียร์ปัญหาเก่า

ขสมก.เปิดตัวรถเมล์เอ็นจีวี ใหม่ เสริมบริการเมืองหลวง เตรียมชงบอร์ดเคาะขึ้นรถเมล์ร้อนอีก 2.50 บาท

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในพิธีเปิดตัวรถเมล์ใช้เชื้อเพลิงธรรมชาติ (เอ็นจีวี) ใหม่ ว่า รถเมล์ถือเป็นระบบขนส่งหลักของเมืองหลวงเพื่อรับใช้ผู้มีรายได้น้อย ดังนั้นรัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการยกระดับคุณภาพบริการทั้งการจัดเส้นทางใหม่ รถใหม่ เทคโนโลยีใหม่ ตลอดจนช่องทางการชำระผ่านบัตรโดยสารใบเดียว ในวันนี้รถเมล์ใหม่คลอดมาได้แล้วเป็นหน้าที่ของหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องต้องเข้ามาดูว่าทำอย่างไรให้เติบโตไปได้อย่างถูกทาง

สำหรับการปฏิรูปเส้นทางเดินรถและคุณภาพรถเมล์ในอนาคตขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) นั้น หากยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาเดิมรวมถึงปัญหาด้านต้นทุนและคุณภาพได้ การเดินหน้าแผนฟื้นฟูกิจการไปก็ขาดทุนเหมือนเดิม ทั้งนี้กระทรวงคมนาคมนั้นต้องคิดว่าจะช่วยเหลือผู้ประกอบการได้จริงหรือไม่ ทุกวันนี้ ต้นทุนเดินรถสูง ค่าติดตั้งอุปกรณ์และระบบเทคโนโลยีสูง ตลอดจนราคาขายรถโดยสารใหม่ต่อคันก็สูงถึง 3-4 ล้านบาท

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ  รมว.คมนาคม กล่าวว่า ขณะนี้รถเมล์เอ็นจีวีได้รับมา 2 งวดแล้ว ส่วนงวดต่อไปจะเป็นวันที่ 27 ธ.ค. และจะทยอยส่งรับมอบ คาดว่ารอบสุดท้ายที่จะครบทั้งหมด 489 คัน จะสามารถรับมอบได้ในเดือน มี.ค. 2562  โดยตามแผนฟื้นฟูของ ขสมก.คาดว่าในปีหน้าจะดำเนินการจัดหารถเมล์ไฮบริดและรถอีวีได้ ซึ่งจะมีทั้งรถที่จัดซื้อและเช่าจำนวน 2,688 คัน ที่ผ่านมาได้เสนอสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) พิจารณาไปหลายครั้งแล้ว และเตรียมเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาได้ในเดือน ม.ค. 2562

นายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานคณะกรรมการบริหารกิจการ (บอร์ด) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)  กล่าวว่า ขสมก.เตรียมเสนอแนวทางปรับขึ้นค่าโดยสารรถเมล์ใหม่ให้ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ขสมก.พิจารณาอนุมัติ โครงสร้างค่าโดยสารรถสาธารณะใหม่ จากปัจจุบันเก็บค่าโดยสารรถเมล์ธรรมดา (รถร้อน) ในราคา 6.50 บาท คาดจะปรับขึ้นเป็น 8-9 บาท

ขณะที่รถเมล์ปรับอากาศ (รถแอร์) ขสมก.จากเดิมเก็บค่าโดยสารอยู่ที่ 11-23 บาท จะปรับขึ้นเป็น 13-25 บาท ในส่วนของรถเมล์เอ็นจีวีจะใช้อัตราค่าโดยสารตามระยะทาง จากเดิม 11-23 บาท จะปรับขึ้นเป็น 15-25 บาท ในเบื้องต้น ขสมก.อาจจะปรับราคาตามขั้นบันไดหรืออัตราที่ต่ำที่สุดก่อน เพื่อให้เกิดผลกระทบกับประชาชนน้อยที่สุด โดยคาดว่าจะสามารถบังคับใช้ได้ในวันที่  21  ม.ค. 2562