ตลาดดี-เซ็กเมนต์ระอุ จับตาปีหน้าแข่งขันสนุก

โดย...พลพัต สาเลยยกานนท์

แม้ว่าตลาดรถยนต์นั่งขนาดใหญ่ (ดี-เซ็กเมนต์) จะเป็นตลาดที่มีขนาดเล็กลงทุกทีจากการถูกแย่งส่วนแบ่งตลาดของรถยนต์ประเภทอื่นๆ ตามพฤติกรรมการใช้งานที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคที่มองหาความอเนกประสงค์เป็นทางเลือกเพิ่มเติมขึ้นไปกว่ารถยนต์นั่งในระดับราคาเดียวกัน

แต่กระนั้นรถยนต์ในกลุ่ม ดีเซ็กเมนต์ ยังคงเป็นเรือธงหลักของทุกแบรนด์ที่ถูกนำเทคโนโลยีด้านต่างๆ ที่ทันสมัยมาใส่ไว้ในรถยนต์กลุ่มนี้ เพื่อเชิดหน้าชูตาความโดดเด่นที่เหนือชั้นสำหรับกลุ่มเป้าหมายในระดับบน ทำให้ไม่ว่าตลาดในประเทศไทยของดี-เซ็กเมนต์จะเล็กลงเพียงไรก็ยังคงต้องมีรถยนต์กลุ่มนี้อยู่ในตลาดอย่างแน่นอนในปัจจุบัน

ในช่วงไตรมาส 3-4 ของปีนี้ ค่ายต่างๆ ที่มีผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม ดี-เซ็กเมนต์ อย่าง โตโยต้า และนิสสัน ได้ถึงรอบระยะเวลาการเปลี่ยนผ่านผลิตภัณฑ์สู่อีกเจเนอเรชั่นใหม่ของรถในกลุ่มนี้ ซึ่งต่างชูประเด็นที่น่าสนใจตามสไตล์ของแต่ละแบรนด์ไว้ได้เป็นอย่างดี รวมถึงฮอนด้า ที่นำรถยนต์กลุ่มดังกล่าวมาจัดแสดงภายในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 35 (มอเตอร์เอ็กซ์โป) เพื่อลดความร้อนแรงของคู่แข่งก่อนที่จะเปิดตัวและวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในปี 2562

วุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดรถยนต์ ดี-เซ็กเมนต์ ในประเทศไทยช่วง 4-5 ปีก่อนเคยอยู่ในระดับ 5% ของตลาดรถยนต์นั่งในประเทศไทย ซึ่งภายหลังจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในกลุ่มต่างๆ ของผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศไทยที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น จึงทำให้ตลาดดี-เซ็กเมนต์ลดลงเหลือ 2-3% ของตลาดรถยนต์นั่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้

"ที่ผ่านมาตลาดนี้มีขนาดใหญ่เกินระดับ 1,000 คัน/ปี ขึ้นไป แต่ทางเลือกที่มีในตลาดมากขึ้นของรถยนต์กลุ่มต่างๆ ทำให้รถยนต์ ดี-เซ็กเมนต์ โดนกินส่วนแบ่งทางการตลาดไป ซึ่งเชื่อว่าตลาด ดังกล่าวในเวลานี้ปริมาณของตลาดจะอยู่ระดับนี้" วุฒิกร กล่าว

สำหรับการแข่งขันของรถยนต์ในระดับราคาราว 2 ล้านบาท นั้นมีการแข่งขันที่รุนแรงสูงขึ้นอย่างมากจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในระดับราคาดังกล่าวของแบรนด์รถยนต์ระดับพรีเมียมที่หวังจะขยายตลาดมายังรถ ดี-เซ็กเมนต์ ที่มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 1.7-1.8 ล้านบาท ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดต้องรับมือกับการแข่งขันนี้

ขณะที่บริษัทได้เปิดตัว โตโยต้า คัมรี่ ใหม่ มีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 เครื่องยนต์ ได้แก่ เครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 2.0 ลิตร และเครื่องยนต์ไฮบริดขนาด 2.5 ลิตร ราคาเริ่มต้น 1.44-1.79 ล้านบาท

อันตวน บาร์เตส ประธานบริษัท นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย กล่าวว่า ทิศทางความต้องการของลูกค้าในกลุ่มรถยนต์ ดี-เซ็กเมนต์ ยังคงมีกลุ่มที่ต้องการอยู่เป็นจำนวนมากตามลักษณะการใช้งานที่มีขนาดห้องโดยสารขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับกลุ่มครอบครัว รวมถึงด้านการนำเสนอเทคโนโลยีและความพรีเมียมล้ำสมัยของผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มนี้ที่ยังคงให้ความสนใจในด้านความหรูหราและการออกแบบ รวมถึงเทคโนโลยีที่เป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจซื้อ

ทั้งนี้ พฤติกรรมการเลือกซื้อรถยนต์ของผู้บริโภคที่ต้องการนำไปใช้สำหรับครอบครัวแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.รถยนต์นั่งขนาดใหญ่ (ดี-เซ็กเมนต์) และ 2.รถอเนกประสงค์ (เอสยูวี) จึงเชื่อว่าความต้องการของผู้บริโภคในตลาดรถยนต์ ดี-เซ็กเมนต์ ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง

บาร์เตส กล่าวว่า ล่าสุด นิสสันได้เปิดตัว นิสสัน เทียน่า ใหม่ มีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 เครื่องยนต์ ได้แก่ เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร และเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร ราคาเริ่มต้น 1.39-1.67 ล้านบาท

ด้าน พิทักษ์ พฤทธิสาริกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารปฏิบัติการ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) กล่าวว่า ฮอนด้าจะมีการเปิดตัว ฮอนด้า แอคคอร์ด ใหม่ ในช่วงต้นปี 2562 ซึ่งที่ผ่านมารถยนต์รุ่นดังกล่าวได้มีการเปิดตัวไปแล้วในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งการนำมาจัดแสดงให้ผู้บริโภคชาวไทยภายในงานมอเตอร์เอ็กซ์โปที่ได้สิ้นสุดลงไปแล้วเป็นการนำเสนอให้ผู้ที่รอคอยรถยนต์รุ่นดังกล่าวได้สัมผัสก่อนการเปิดตัวจริงในปีหน้า

นอกจากนี้ แผนการนำเสนอเครื่องยนต์ไฮบริดในผลิตภัณฑ์ของบริษัทหลังจากนี้จะมีการนำเครื่องยนต์ไฮบริดใส่ไว้ในทุกรุ่นของผลิตภัณฑ์ตามแผนของฮอนด้าในระดับโลกที่กำหนดไว้ว่า ในปี 2573 จะมี 2 ใน 3 ของยอดขายบริษัทมาจากรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งฮอนด้า แอคคอร์ด จะถูกนำเครื่องยนต์ไฮบริดมาเสนอเป็นทางเลือกในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค

"ตลาดดี-เซ็กเมนต์ แม้ว่าจะมีปริมาณที่ไม่มากมายอะไรนัก แต่การแข่งขันด้านผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ค่อนข้างสูง เนื่องจากเป็นรถเรือธงหลักของแต่ละแบรนด์ที่นำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆ ในรถยนต์ดี-เซ็กเมนต์ ก่อนผลิตภัณฑ์กลุ่มอื่น" พิทักษ์ กล่าว

งานนี้เชื่อว่าปีหน้าที่ทุกค่ายเปิดตัวลงสู่ตลาดครบถ้วนแล้ว  การแข่งขันคงเล่นกันแรงขึ้นแน่