posttoday

เบนซ์จัดเพิ่มทักษะขับขี่หนุนเอเอ็มจีโต

20 ตุลาคม 2561

เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) มุ่งมั่นทำตลาดของรถในกลุ่มเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี เพื่อตอกย้ำการเป็นฐานการผลิตสำคัญ

โดย..สไปรท์

นับเป็นปีที่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) มุ่งมั่นในการทำตลาดของรถในกลุ่มเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำการเป็นฐานการผลิตสำคัญในประเทศไทยที่มีศักยภาพในการผลิตรถในกลุ่มดังกล่าว

ทั้งนี้ ล่าสุดจึงได้มีการเปิดตัวพร้อมกันถึง 3 รุ่น ได้แก่ เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี ซี 43, เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี อี 63 และเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซี 200 คูเป้ รุ่นประกอบในประเทศพร้อมการจัดกิจกรรม เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี ไดรฟ์วิ่ง เอ็กซ์พีเรียนซ์ 2018 ซึ่งเป็นครั้งแรกเช่นกันที่นำรถในกลุ่มเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี ครบทั้ง 9 รุ่น ในทุกเซ็กเมนต์มาลงสนามและถ่ายทอดเทคนิคการขับขี่เพื่อให้ได้สัมผัสสมรรถนะของตัวผลิตภัณฑ์โดยผู้ฝึกสอนที่เชี่ยวชาญระดับโลก ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์

โรลันด์ โฟลเกอร์ ประธานบริหารบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า บริษัทแม่ให้ความสำคัญต่อรถในกลุ่มเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี ในประเทศไทย ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยก่อนหน้านี้ได้มีการขยายกำลังการผลิตมายังภูมิภาคอาเซียนด้วยการประกอบรถกลุ่มดังกล่าวในประเทศไทย จึงมีการเติบโตที่ชัดเจน

นอกจากผลิตภัณฑ์ที่ดีแล้ว การขับขี่อย่างปลอดภัยและเต็มสมรรถนะของรถยนต์ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทางบริษัทให้ความสำคัญ จึงได้จัดกิจกรรมดังกล่าวขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อเป็นการสานต่อปรัชญาในการมอบ “สิ่งที่ดีที่สุด” ให้กับลูกค้าด้วยการนำลูกค้ากว่า 600 ชีวิต และผู้สื่อข่าวกว่า 100 ชีวิต มาร่วมกิจกรรมครั้งนี้

เบนซ์จัดเพิ่มทักษะขับขี่หนุนเอเอ็มจีโต

ฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์ รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ช่วยให้เมอร์เซเดส-เอเอ็มจีประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน โดย 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย.) มียอดขายเติบโตขึ้นราว 350% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ดังนั้น เพื่อเป็นการรักษาการเติบโตอย่างยั่งยืนของแบรนด์ บริษัทจึงได้ดำเนินกลยุทธ์วางจำหน่ายผลิตภัณฑ์สมรรถนะสูงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเตรียมแผนรองรับกลุ่มลูกค้าเมอร์เซเดส-เอเอ็มจีที่เพิ่มมากขึ้นพร้อมเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ที่สนใจรถยนต์กลุ่มนี้ โดยราคาเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี ซี 43 อยู่ที่ 4.22 ล้านบาท, เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี อี 63 อยู่ที่ 12.7 ล้านบาท และเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซี 200 คูเป้ อยู่ที่ 3.45 ล้านบาท

ด้านกิจกรรม เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี ไดรฟ์วิ่ง เอ็กซ์พีเรียนซ์ 2018 ในครั้งนี้ ได้แบ่งการทดสอบออกเป็น 4 สถานี ได้แก่ สถานี “Brake and Swerve” เป็นการทดสอบระบบเบรกเป็นหลัก, สถานี “ESP Exercise” เป็นการทดสอบระบบ ESP ซึ่งอ้างอิงจากสถานการณ์จริงที่อาจมีคนข้ามถนนและต้องหักหลบโดยไม่เหยียบเบรก ซึ่งจำลองสิ่งกีดขวางขึ้นมาแทน

สถานีที่ 3 “Motorkhana” เป็นการทดสอบฝึกบังคับรถยนต์ในสนามจำลองที่มีอุปสรรคมากมายภายในเวลาที่รวดเร็ว และสถานี “Cornering Theory” เป็นสถานีทดสอบการเข้าโค้ง รวมถึงการขับขี่ในสนามแข่งแบบเต็มรูปแบบ ซึ่งสะท้อนเทคโนโลยีและสมรรถนะของตัวรถออกมาได้เป็นอย่างดี