posttoday

ดันไทยชิงตลาดโลก ส่งสินค้าเจาะหัวเมืองใหญ่3ประเทศ

16 กันยายน 2561

กรมการค้าต่างประเทศเล็งขยายโมเดล YEN-D บุกตลาดมาเลเซีย อินโดนีเซีย และอินเดีย เปิดโอกาสสินค้าไทยสู่ตลาดโลก

กรมการค้าต่างประเทศเล็งขยายโมเดล YEN-D บุกตลาดมาเลเซีย อินโดนีเซีย และอินเดีย เปิดโอกาสสินค้าไทยสู่ตลาดโลก

นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) เปิดเผยว่า ในปี 2562 มีแผนขยายตลาดสินค้าและบริกาของไทยไปสู่ตลาดใหม่เพิ่มเติมจากตลาดในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี หลังโครงการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการรุ่นใหม่ของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (YEN-D) ในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวีประสบความสำเร็จ โดยเตรียมจัดโครงการ YEN-D พลัส เพิ่มใน 3 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีผู้บริโภครวมกันมากกว่า 1,600 ล้านคน และมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง เป็นโอกาสในการนำสินค้าไทยไปสู่ตลาดใหม่ๆ เพิ่มขึ้น

“ทั้ง 3 ตลาดที่จะขยายเพิ่มนั้นเป็นตลาดที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะอินเดียเป็นตลาดขนาดใหญ่ มีประชากรมาก และมีกลุ่มผู้มีรายได้สูงอยู่มาก แต่ผู้ประกอบการไทยยังเข้าไปน้อยมาก เนื่องจากเข้ายาก เพราะ knowwho สำคัญกว่า knowhow โดยจะเน้นเจาะเข้าไปในหัวเมืองใหญ่ๆ เช่น มุมไบ เจนไน และนิวเดลี” นายอดุลย์ กล่าว

ทั้งนี้ จากการดำเนินโครงการ YEN-D มา 4 ปี มีเครือข่ายทั้งหมด 2,400 คู่ และสามารถสร้างมูลค่าการค้าได้รวมมากกว่า 3,000 ล้านบาท

สำหรับกิจกรรมล่าสุดคือการนำคณะผู้ประกอบการรุ่นใหม่ของไทย (YEN-D) รวมกว่า 80 ราย ในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคและบริโภค สินค้าเกษตร บริการสุขภาพ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม บริษัทนำเที่ยว เครื่องสำอางและแฟชั่น อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจรีไซเคิล ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และอี-คอมเมิร์ซ กระชับความสัมพันธ์ต่อยอดเครือข่ายธุรกิจกับผู้ประกอบการ YEN-D ของเวียดนาม มีการจับคู่ธุรกิจระหว่างกันกว่า 200 ราย คาดจะเกิดมูลค่าการค้าระหว่างกันภายในงานไม่ต่ำกว่า 600 ล้านบาท

ปัจจุบันมูลค่าการค้าระหว่างประเทศไทย-เวียดนาม ช่วง 7 เดือน (ม.ค.-ก.ค. 2561) อยู่ที่ 10,258 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 14% แบ่งเป็นการส่งออก 6,970 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 13% และเป็นการนำเข้า 3,288 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 18% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ไทยเกินดุลการค้ากับเวียดนาม 3,682 ล้านดอลลาร์

สำหรับสินค้าส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ เม็ดพลาสติก ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง รถยนต์ น้ำมันสำเร็จรูป เครื่องปรับอากาศ ขณะที่สินค้านำเข้า 5 อันดับแรก ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า น้ำมันดิบ เครื่องจักรไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์โลหะ เหล็ก และเหล็กกล้า