posttoday

ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ลุยทุกสภาพเส้นทาง

28 กรกฎาคม 2561

โดย...พลพัต สาเลยยกานนท์

โดย...พลพัต สาเลยยกานนท์

สัปดาห์นี้อยู่กับรถกระบะในตระกูลกระบะพรีเมียมจากค่ายรถอเมริกันอย่าง ฟอร์ด ประเทศไทย ที่จัดทดสอบสมรรถนะในรุ่น "ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์" ซึ่งเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปเยือนแดนจิงโจ้กันที่เมืองดาร์วิน ประเทศออสเตรเลีย

ก่อนหน้านี้ ฟอร์ดได้เผยโฉมรถกระบะพรีเมียมรุ่นดังกล่าวเป็นครั้งแรกในช่วงต้นปีที่ผ่านมาในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ด้วยการออกแบบที่มีดีเอ็นเอของฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์ ที่เป็นหัวใจหลักของ "ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์" ซึ่งต้องนิยามให้เป็นกระบะสมรรถนะสูงที่ทำลายข้อจำกัดทางเทคโนโลยี นวัตกรรม และความตื่นเต้นในการขับขี่ ที่พร้อมเปลี่ยนประสบการณ์ขับขี่ให้เหนือความคาดหมาย

การออกแบบของ ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ต้องบอกเลยว่ามีความโดดเด่นสะดุดตา พาให้คนที่ชื่นชอบความดุดันแบบเฉพาะตัวต้องหลงใหลตั้งแต่ครั้งแรกที่มองเห็น ซึ่งดูแล้วมีความบึกบึนและบ่งบอกถึงความแตกต่างในตลาดอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นความสูงจากพื้นถนนที่อยู่ที่ 283 มม. และระยะช่วงล้อหน้าและล้อหลังที่กว้างขึ้น 150 มม. พร้อมโลโก้ฟอร์ดตัวพิมพ์ใหญ่ภาษาอังกฤษอันเป็นเอกลักษณ์ สำหรับวัสดุที่ผลิตแก้มข้างรถคู่หน้าผลิตมาจากวัสดุคอมโพสิตที่ทนทานต่อการผจญภัยแบบออฟโรด แผงกันชนหน้า มาพร้อมไฟตัดหมอกแบบแอลอีดี และช่องรีดอากาศ ซึ่งช่วยลดการต้านลมของตัวรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ แก้มข้างรถคู่หน้ายังถูกตีโป่งขยายออก เพื่อรองรับการยุบตัวของโช้กที่เพิ่มมากขึ้นและยางออฟโรดอีกด้วย

ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ลุยทุกสภาพเส้นทาง

ภายในห้องโดยสารจุดที่ชอบที่สุดคือเบาะที่นั่งซึ่งได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะและบุด้วยหนังกลับ เพื่อการยึดเกาะที่นั่งที่ดียิ่งขึ้น รวมไปถึงการเดินด้ายสีน้ำเงิน การเลือกใช้วัสดุหนัง และแผงหน้าปัดที่ออกแบบมาอย่างดุดัน พวงมาลัยบุหนังลายฉลุช่วยให้จับได้ถนัดมือ และมาพร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ที่หลังพวงมาลัย (แพดเดิลชิฟต์) ขนาดใหญ่ที่ผลิตจากแมกนีเซียมน้ำหนักเบา อีกทั้งยังได้สลักลายโลโก้แร็พเตอร์ลงบนขอบพวงมาลัยเพื่อความสะดุดตา

ขุมพลังเครื่องยนต์ของเจ้าแร็พเตอร์คันนี้ มาพร้อมด้วยเครื่องยนต์ดีเซลใหม่แบบ Bi-Turbo (เทอร์โบคู่) ขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 213 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีดที่ผลิตจากเหล็กกล้า อะลูมิเนียมอัลลอย และคอมโพสิต เพื่อให้มีความทนทานและมีน้ำหนักเบา ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์แม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ ยังมาพร้อมอัลกอริทึมที่เรียนรู้รูปแบบการขับขี่ เพื่อเลือกเกียร์ที่เหมาะสมที่สุดในทุกการขับขี่
 
สำหรับช่วงล่างถูกออกแบบให้รับมือกับการขับขี่ออฟโรดสุดหฤโหดได้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการกระโดดหรือการขับขี่ที่ ท้าทายด้วยโช้กอัพแบบ Position Sensitive Damping (PSD) ผลิตโดย FOX ซึ่งจะเพิ่มแรงต้านเมื่อมีการกระแทกเต็มช่วงยุบกระบอกสูบ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่แบบออฟโรดให้ดียิ่งขึ้น และจะลดแรงต้านเมื่อขับขี่บนถนนทางเรียบเพื่อการขับขี่ที่นุ่มนวล ระบบกันสะเทือนวัตต์ลิงค์ ยังได้รับการออกมาเพื่อรับมือกับการขับขี่ความเร็วสูงบนสภาพผิวถนนที่ขรุขระโดยเฉพาะ

ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ลุยทุกสภาพเส้นทาง

นอกจากนั้น ฟอร์ดได้เลือกใช้ยาง All-terrain BF Goodrich 285/70 R17 ที่พัฒนาขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับ เรนเจอร์ แร็พเตอร์ โดยเฉพาะ โดยแก้มยางมีความทนทานสูง เหมาะในการลุยทุกสภาพพื้นผิว และดอกยางขนาดใหญ่พิเศษ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถขับขี่ได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยในทุกสถานการณ์ รวมถึง ระบบเบรกคาลิปเปอร์เบรกคู่หน้าเป็นแบบลูกสูบคู่ มาพร้อมกับจานเบรกคู่หน้าแบบมีครีบระบายความร้อน

อีกจุดเด่นหลักของ เรนเจอร์ แร็พเตอร์ คือความปลอดภัยที่ออกแบบมาเพื่อรองรับทั้งการขับขี่บนทางเรียบและแบบออฟโรด อาทิ ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ที่ทำงานร่วมกับฟังก์ชั่นการป้องกันการพลิกคว่ำ ด้วยเซ็นเซอร์ที่ช่วยตรวจจับและลดอัตราการเลี้ยวเกิน เลี้ยวขาด และการพลิกคว่ำ รวมถึงโหมดการขับขี่ที่มีมาให้เลือกทั้ง ออนโรด แบ่งเป็น นอร์มอลโหมด และสปอร์ตโหมด และออฟโรด แบ่งเป็น ร็อกโหมด บาฮาโหมด มัทแอนด์แซนด์โหมด สโนว์โหมด

ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ลุยทุกสภาพเส้นทาง

การลองขับในครั้งนี้ถูกจัดขึ้นอยู่บนพื้นที่ธรรมชาติจริงที่มีขนาดกว่า 1.1 ล้านเอเคอร์ (4,000 ตารางกิโลเมตร) ทางตอนเหนือของเมืองดาร์วิน ซึ่งได้จัดให้ได้สัมผัสสมรรถนะแบบเต็มๆ ต้องบอกเลยว่าการสะท้อนออกมาของประสิทธิภาพการขับขี่รถยนต์คันนี้นั้นถูกถ่ายทอดออกมาให้ได้หลงรักกับการขับขี่ทุกสภาพถนน ทั้งในเรื่องของการตอบสนองของเครื่องยนต์ที่ทำได้ดีทั้งออนโรดและออฟโรด ชนิดที่ว่าขับด้วยความเร็ว 100 กม./ชม. ขึ้นเน้นกระโดดติดต่อกันก็รู้สึกถึงความมั่นใจและสนุกชนิดที่เรียกว่าไม่อยากปล่อยมือจากพวงมาลัยหรือบอกลาจากรถคันนี้ไปเลยทีเดียว เนื่องจากช่วงล่างที่ถูกออกแบบมาให้ลงตัวนั้นเป็นคำตอบที่ดีสำหรับความสมบุกสมบัน และความสามารถในการใช้งานบนถนนทั่วไปได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ

โหมดการขับขี่แบบบาฮา ที่ระบบจะปรับการตอบสนองของเครื่องยนต์ให้เหมาะกับการขับขี่ออฟโรดด้วยความเร็วสูง ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีจะถูกตัดการทำงาน เพื่อไม่ให้แทรกแซงการทำงานของเครื่องยนต์ นอกจากนี้ ระบบเกียร์จะถูกปรับให้มีประสิทธิภาพการทำงานสูงสุด โดยระบบจะค้างรอบเครื่องไว้นานขึ้นและเปลี่ยนเกียร์ลงอย่างรวดเร็วกว่าเดิม แนะนำว่าห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง

สรุปสุดท้าย ถามว่าคุ้มไหมกับราคาค่าตัวของ "ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์" 1.699 ล้านบาท ที่ต้องจ่าย ตอบเลยว่าถ้าอยากสนุกกับการขับขี่แบบออฟโรดจริงๆ นั้นคุ้มอย่างยิ่ง โดยเฉพาะใครที่ตัดสินใจระหว่าง เรนเจอร์ ไวลด์แทรค ตัวท็อปกับคันนี้อยู่ละก็เหมาะอย่างยิ่งที่จะจ่ายเงินเพิ่มเพื่อประสบการณ์ที่เร้าใจยิ่งขึ้น หรือใครที่จะมองหาความแตกต่างบนท้องถนนก็เหมาะอย่างยิ่งที่จะรับไว้พิจารณาในการตัดสินใจ