posttoday

เฟซบุ๊กเนื้อหอม ฟรีทีวีสนถ่ายพรีเมียร์ลีก

27 กรกฎาคม 2561

เฟซบุ๊กทุ่มเงินกว่า 265 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษในไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม

โดย...จะเรียม สำรวจ

ประมาณเดือน พ.ค. 2562 การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฤดูกาลปี 2018/2019 ก็จะสิ้นสุดลง แต่ก่อนที่จะสิ้นสุดฤดูกาลดังกล่าวก็มีการประกาศชัยชนะของผู้ที่คว้าสิทธิ 3 ฤดูกาลถัดไปแล้วว่าเป็นของสื่อโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่อย่างเฟซบุ๊ก

ชัยชนะครั้งนี้เฟซบุ๊กได้ทุ่มเงินกว่า 265 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 8,800 ล้านบาท สำหรับการเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษในประเทศไทย และอีก 3 ประเทศ คือ ลาว กัมพูชา และเวียดนาม โดยการถ่ายทอดสดจะเริ่มตั้งแต่ฤดูกาล 2019/2020 2020/2021 และ 2021/2022

จากการที่เฟซบุ๊กเป็นเพียงเจ้าของแพลตฟอร์มสื่อโซเชียลไม่มีช่องทางแมสมีเดียในการถ่ายทอดสด ส่งผลให้เฟซบุ๊กต้องหาพันธมิตรในการถ่ายทอดเพิ่ม และหนึ่งช่องทางถ่ายทอดสดที่จะถูกเลือกคือสื่อฟรีทีวี

ด้วยเหตุนี้ทีวีหลายช่องเลยเริ่มส่งสัญญาณความสนใจในคอนเทนต์ดังกล่าวไปยังเฟซบุ๊ก ว่าถ้าการเจรจามีเงื่อนไขที่ลงตัวก็พร้อมที่จะเป็นพันธมิตร กับเฟซบุ๊ก ในการนำคอนเทนต์การถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษมาออกอากาศ เนื่องจากเป็นกีฬาที่คอลูกหนังชาวไทยให้ความสนใจเป็นอันดับต้นๆ

เดียว วรตั้งตระกูล รองประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร ช่องวัน 31 บริษัท จีเอ็มเอ็ม วัน ทีวี กล่าวว่า ถ้ามองในภาพรวมก็มีความเป็นไปได้ที่หลายช่องจะสนใจนำคอนเทนต์พรีเมียร์ลีกมาถ่ายทอดสด เพราะเป็นหนึ่งใน Killer Content ที่มีคนไทยสนใจ แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับนโยบายและจุดยืนของแต่ละช่องว่ามองคอนเทนต์นี้มีมูลค่าในการสร้างเรตติ้ง ให้ช่องมากน้อยแค่ไหน เมื่อเทียบกับค่าลิขสิทธิ์ที่ต้องซื้อมา

สำหรับช่องวัน ซึ่งเป็นช่องวาไรตี้ เน้นไปด้านของคอนเทนต์ละครและรายการวาไรตี้ ก็มีความสนใจในส่วนของคอนเทนต์กีฬา แต่อาจจะไม่ได้ให้น้ำหนักมากนัก จึงยังไม่มีนโยบายใน การซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์นี้โดยตรง แต่ก็ไม่ได้ปิดกั้น เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับโอกาสและสถานการณ์หากมีเงื่อนไขที่ลงตัว

เช่นเดียวกับช่องจีเอ็มเอ็ม 25 ที่ออกมาเปิดเผยว่า ไม่ปิดกั้นที่จะนำคอนเทนต์กีฬามาออกอากาศ เพราะเป็นคอนเทนต์ที่น่าสนใจ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและสถานการณ์ ซึ่งอาจเป็นลักษณะความร่วมมือในรูปแบบต่างๆ จากพันธมิตรหากมีเงื่อนไขลงตัว

ด้าน สุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ช่องพีพีทีวี กล่าวว่า บริษัทมีความสนใจที่จะรับสิทธิถ่ายทอดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกต่อจากเฟซบุ๊ก หากเฟซบุ๊กมีการเข้ามาเจรจากับบริษัท

อย่างไรก็ดี พีพีทีวียังคงขอรอดูการเสนอราคาการรับสิทธิการถ่ายทอดสดต่อจากเฟซบุ๊กก่อนว่าจะเป็นอย่างไร เนื่องจากการซื้อสิทธิถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกที่เฟซบุ๊กได้มาในครั้งนี้มีราคาค่อนข้างสูงกว่าครั้งที่ผ่านมา ซึ่ง บีอิน สปอร์ตส์ ได้สิทธิในการถ่ายทอดไป

สุรินทร์ กล่าวต่อว่า หลังจากนี้ไปคงต้องรอดูว่าเฟซบุ๊กจะมีการบริหารจัดการเรื่องนี้อย่างไร และจะมีใครมานั่งเป็นผู้บริหาร ซึ่งขณะนี้ก็ยังมีเวลาเหลือเนื่องจากตอนนี้หลังเหลือการถ่ายทอดสดของปี 2018/2019 ที่จะเริ่มในเดือน ส.ค.นี้" สุรินทร์ กล่าว

อีกหนึ่งรายที่ออกมาแสดงความสนใจในการรับสิทธิการถ่ายทอดสดต่อจากเฟซบุ๊ก คือ บริษัท ทรูวิชั่นส์ หลังจากประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีกับการรับสิทธิต่อจากบีอินในการถ่ายทอดสด การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2016/2017 2017/2018 และ 2018/2019

ศึกษิฐ ชลศึกษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป กล่าวว่า กรณีที่มีเฟซบุ๊กได้รับลิขสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลต่อไป คือ 2019/2020-2021/2022 นั้น บริษัทกำลังรอข้อมูลที่ชัดเจน เพราะมีความยินดี ที่จะเจรจากับทางเฟซบุ๊ก เพื่อรับสิทธิต่อในการถ่ายทอดสด

สำหรับการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2018/2019 นั้น ทรูวิชั่นส์ยังคงเอาใจแฟนบอลอย่างต่อเนื่อง ยืนยันการรับลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลใหม่ไว้อย่างครบถ้วนทั้ง 380 แมตช์เช่นเดิม โดยแฟนบอลสามารถติดตามชมสดได้ทั้งบนหน้าจอทรูวิชั่นส์ และบนมือถือผ่านแอพทรูไอดีทีวี ซึ่งจะเปิดฤดูกาลด้วยคู่ใหญ่ ศึกฟรายเดย์ไนท์ ในคืนวันศุกร์ที่ 10 ส.ค.นี้ เวลา 02.00 น. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พบ เลสเตอร์ ซิตี้

ในส่วนของ พรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท อาร์เอส แม้ว่าจะออกตัวไม่สนใจใช้เงินลงทุนกับคอนเทนต์ลักษณะนี้ เพราะ คอนเทนต์กีฬาที่มีอยู่พอเพียงในการสร้างความหลากหลายในฐานะช่องวาไรตี้อยู่แล้ว แต่ก็ได้มีการให้ข้อคิดเกี่ยวกับการลงทุนคอนเทนต์กีฬาด้วยว่า โครงสร้างการทำธุรกิจกับคอนเทนต์การถ่ายทอดสดประเภทรายการกีฬาได้เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

"หากมีช่องทีวีบางช่องไปซื้อลิขสิทธิ์มาบางส่วน น่าจะเป็นต้นทุนทางด้านการตลาดมากกว่าที่จะเป็นคอนเทนต์นำมาทำธุรกิจได้ด้วยตัวเอง เพราะราคาแบบที่พรีเมียร์ลีกคาดหวังหรือตั้งเกณฑ์ไว้ไม่มีทางได้เห็นในตลาดไทยอีกต่อไป เห็นได้จากการขายสิทธิการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฤดูกาลที่ผ่านมา 3 ฤดูกาล และฤดูกาลใหม่อีก 3 ฤดูกาล ที่จะไปตกอยู่ในมือของผู้เล่นรายใหญ่ระดับโลกหรือระดับภูมิภาค" พรพรรณ กล่าว