บิ๊กดาต้าชี้อนาคต ปลุกองค์กรตื่นตัว

โดย...รัชนีย์ ศรีวัฒนชัย

การแข่งขันในโลกนี้จะชนะกัน คือ การใช้บิ๊กดาต้า ธุรกิจจำเป็นต้องสร้างฐานการเก็บข้อมูลถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคทั้งความสนใจ อายุ เพศ เป็นต้น มาทำการวิเคราะห์ เพื่อทำนายความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ รวมถึงแผนการตลาดและการใช้งบโฆษณาที่จะทำกับกลุ่มเป้าหมาย

ศิวัตร เชาวรียวงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรุ๊ปเอ็ม และนายกสมาคมโฆษณาดิจิทัล เปิดเผยว่า กลุ่ม เอสเอ็มอีของไทยยังตื่นตัวลงทุนกับ บิ๊กดาต้าค่อนข้างน้อย แต่ต้องเริ่มหรือหันมาเก็บข้อมูล เพื่อดำเนินธุรกิจได้อย่างแม่นยำ และทำให้เกิดความคุ้มค่าต่อการทำตลาด เพราะต้นทุนการตลาดต่างกันหลายเท่าตัว มิเช่นนั้นจะไม่สามารถแข่งขันได้ เพราะการทำตลาด หรือโฆษณา และพฤติกรรมของผู้บริโภค แตกต่างจากในอดีตเป็นอย่างมาก

ตัวอย่างของการทำโฆษณาดิจิทัลในอดีต เช่น เจคิวปูม้านึ่ง เพียงนำรูปอาหารทะเลมาโพสต์ลงเฟซบุ๊ก คนก็แชร์ในโลกโซเชียล ถือว่าเป็นทางเลือกให้กับคนทำงานออฟฟิศ ไม่ต้องไปซื้อกินที่ชายทะเล ส่งผลให้ยอดขายพุ่ง 600 ล้านบาท/ปี และต่อมาเป็นยุคเสิร์ช เอนจิ้น พบว่าพฤติกรรมผู้บริโภค 80% หาข้อมูลก่อนซื้อ ขณะที่ 70% หาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต และ 66% ดูโซเชียล มีเดียเพื่อให้ตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น แบรนด์จึงต้องทำให้ลูกค้าหาให้เจอบนอินเทอร์เน็ต

ขณะที่ยุคปัจจุบันสื่อโซเชียลมีเดีย ไม่ได้เป็นแค่ความบันเทิงหรือการซื้อ สินค้าเท่านั้น แต่เป็นการสร้างอาชีพเสริมให้กับคนทั่วไป หนึ่งคนจะมีสองอาชีพ เกิดขึ้นทั่วโลก ดังนั้นไม่ว่าจะเป็น เอสเอ็มอีหรืออาชีพเสริม รวมจนถึงองค์กรใหญ่ สิ่งสำคัญ คือ บิ๊กดาต้า ต้องรู้ข้อมูลว่า ลูกค้าต้องการอะไร และใช้เครื่องมือการตลาดแบบไหนในการเข้าถึงลูกค้า

ทั้งนี้ แนวโน้มทั่วโลกหันมาใช้สื่อโฆษณาดิจิทัลในสัดส่วนถึง 40% ส่วนการใช้สื่อโฆษณาทางทีวีมีสัดส่วน 36% ส่วนธุรกิจของไทยใช้สื่อโฆษณาดิจิทัลผ่านเอเยนซี 14% แต่หากรวมการซื้อสื่อโดยตรงผ่านทางเฟซบุ๊ก ยูทูบ เป็นต้น คาดว่าจะมีสัดส่วน 30%

สำหรับในอนาคตเชื่อว่า 3-4 ปีข้างหน้า เม็ดเงินโฆษณาดิจิทัลจะเริ่มแซงหน้าสื่อโฆษณาทางทีวี โดยปีนี้สื่อโฆษณาดิจิทัลเติบโต 16% หรือมูลค่า 1.43 หมื่นล้านบาท โดยธุรกิจไทยที่ลงทุนสื่อโฆษณาดิจิทัลสูง อาทิ โทรคมนาคม กลุ่มธนาคาร สกินแคร์ รถยนต์

วีระศักดิ์ สุตัณฑวิบูลย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ในงานสัมมนาจับทิศ รู้ทาง การตลาดดิจิทัลว่า ผู้ดำเนินธุรกิจขนาดกลางและย่อม หรือเอสเอ็มอี ต้องเข้าใจการทำดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง เพราะโลกการค้าเปลี่ยนแปลง ช่องทางการจำหน่าย รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่าง สิ้นเชิง จากข้อมูลเมื่อต้นปีที่ผ่านมา การใช้อินเทอร์เน็ตของคนไทย 57 ล้านคน จากจำนวนประชากร 68 ล้านคน

นอกจากนี้ ในระยะ 1 ปีข้างหน้า จะมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมีอัตราเติบโต 24% และการใช้โซเชียลมีเดียเติบโต 11% ขณะเดียวกันด้านช่องทางจำหน่ายสินค้ามีประชากร 12 ล้านคน ที่ใช้มือถือซื้อสินค้าผ่านช่องทางอี-คอมเมิร์ซ หรือราว 8,600 บาท/คน ซึ่งผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงรู้ให้ทันกับตลาดดิจิทัล