เฌอรี่ศึกษาช่องทางส่งออกรถ

นายใหม่เฌอรี่ปลื้ม หลังบริษัทแม่หนุนนำรถจีน ปรับสภาพขายในไทย พร้อมศึกษาลู่ทางส่งออกไปขายต่างชาติ

นางมนทกานติ์ คณะวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเฌอรี่ยานยนตร์ เปิดเผยว่า ยอดจำหน่ายรถยนต์เฌอรี่ในประเทศไทยเริ่มปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยมียอดจำหน่ายไปแล้วกว่า 400 คัน ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการที่บริษัทได้นำเข้ารถจากประเทศจีน และนำมาปรับสภาพทั้งภายนอกและภายใน เพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าชาวไทยมากขึ้น

การนำรถเข้ามาดัดแปลงดังกล่าว ได้มีการเจรจากับบริษัทแม่ในประเทศจีนเป็นที่เรียบร้อย และได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดี รวมถึงบริษัทแม่เองยังเข้ามาศึกษาถึงการปรับแต่งผลิตภัณฑ์ของบริษัท ซึ่งในอนาคตอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อที่จะส่งออกรถยนต์ที่ได้รับการตกแต่งแล้ว หรือชุดแต่งที่พัฒนาขึ้นมาออกไปจำหน่ายในประเทศที่ใช้รถยนต์พวงมาลัยขวาอีกด้วย

“ทางบริษัทแม่ค่อนข้างพอใจกับสิ่งที่เราทำอยู่ ซึ่งการศึกษาโครงการต่างๆ ในอนาคตคงต้องใช้เวลา และเราเองก็ต้องเดินหน้าทำยอดจำหน่ายในประเทศไทยให้ได้เพิ่มขึ้นเสียก่อน ที่จะมองเรื่องของการส่งออกหรือพัฒนาสินค้าอะไรตามมา” นางมนทกานติ์ กล่าว

สำหรับแผนการตลาดในประเทศนั้นมีแผนที่จะเปิดตัวสินค้าใหม่อีก 1 รุ่น ได้แก่ เฌอรี่ เอ1 ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ ซึ่งแม้จะเป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็ก แต่ก็เป็นลูกค้าคนละกลุ่มกับคิวคิวที่ทำตลาดอยู่ เนื่องจาก เอ1 จะใช้เกียร์ธรรมดาเท่านั้น โดยคาดว่าจะวางราคาจำหน่ายที่ระดับ 4 แสนบาท

ขณะที่เป้าหมายการจำหน่ายในปีนี้อยู่ที่ 1,000 คัน ซึ่งในช่วง 8 เดือนแรกมียอดจำหน่ายไปแล้วกว่า 400 คัน ทำให้เชื่อว่าจะสามารถทำยอดจำหน่ายได้ตามเป้าแน่นอน และจะเป็นการประสบความสำเร็จอย่างมากในตลาด จากที่มีประชากรของรถเฌอรี่เพียง 800 คัน ในการทำตลาด 2 ปีที่ผ่านมา

นางมนทกานติ์ กล่าวถึงแผนการขยายโชว์รูมและศูนย์บริการ ว่า อยู่ระหว่างการศึกษาสถานที่เพื่อเปิดโชว์รูมและศูนย์บริการอีก 1-2 แห่งภายในช่วงต้นปีหน้า จากที่ในปัจจุบันมีโชว์รูมและศูนย์บริการใน กทม. 6 แห่ง และต่างจังหวัด 9 แห่ง ซึ่งการขยายเครือข่ายการขายและบริการจะทำเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่จะขยายเพิ่มมากขึ้นในอนาคต

ทั้งนี้ แนวทางในการทำตลาดจะชูจุดเด่นเรื่องความคุ้มค่าในการเลือกซื้อและใช้งานรถยนต์สักคัน รวมถึงความประหยัดในเรื่องของเชื้อเพลิงและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา ซึ่งเฌอรี่จะถูกกว่าเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่น