เขมทัตต์ พลเดช คืนอสมท ธุรกิจสื่อยุคท้าทาย
“เขมทัตต์ พลเดช” อดีตกรรมการผู้อำนวยการพีพีทีวี เพิ่งเข้ามาเป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท (MCOT) คนใหม่
โดย...ประลองยุทธ ผงงอย
“เขมทัตต์ พลเดช” อดีตกรรมการผู้อำนวยการพีพีทีวี เพิ่งเข้ามาเป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท (MCOT) คนใหม่ เมื่อเดือน เม.ย. 2560 ที่ผ่านมา นับว่าเป็นการย้อนคืนมารับตำแหน่งในองค์กรเดิมที่เขาเคยเป็นรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ช่วงปี 2555 มาก่อน
เขาจบปริญญาตรี คณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขาเอกโทรทัศน์และวิทยุ ซึ่งในตอนนั้นสาขานี้ยังไม่มีคนนิยมเรียนมากนัก ในที่ช่วงเรียนต้องทำสารนิพนธ์ด้วย
ความเป็นคนไฮเปอร์มากช่วงเรียนประมาณปี 2-3 จึงเริ่มออกไปฝึกงานเริ่มจากงานด้านวิทยุได้ทำงานทั้งเป็นผู้สื่อ ลงเสียงจัดรายการวิทยุ ตัดต่อเทปเสียง มิกซ์เพลงเป็นดีเจ ซึ่งกำหนดการฝึกงานจริงคือ 1 เดือน แต่ตัวเองฝึกงานไปเกินกำหนด ทำไปถึง 6 เดือน จนขึ้นปี 4 ต้องเขียนสารนิพนธ์จึงต้องมาฝึกงานด้านโทรทัศน์
ตั้งแต่ช่วงเรียนมีความตั้งใจไว้ว่าจะทำงานที่ อสมท เป็นที่แรก จึงไปขอสมัครฝึกงานที่ อสมท ในช่วงนั้นถนนพระราม 9 ยังไม่มี ซึ่งการเดินทางมายังถนนยังเป็นทางลูกรัง แต่ถูกปฏิเสธกลับมาด้วยเหตุผลว่ามีรุ่นพี่เคยมาสมัครฝึกงานแล้ว แต่กลับไปเที่ยวไม่มาฝึกงาน ทำให้ไม่ได้ฝึกงานที่ อสมท
แต่ด้วยความจำเป็นต้องฝึกงานด้านโทรทัศน์เพื่อทำสารนิพนธ์จึงจำเป็นต้องหาที่ฝึกงานใหม่ ในตอนนั้นจึงเลือกไปสมัครฝึกงานประชาสัมพันธ์ที่สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ที่ตอนนั้นยังเป็นช่องเล็กๆ ทำให้ต้องไปฝึกงานในต่างจังหวัดที่มีศูนย์ข่าวภูมิภาคใน จ.ลำปาง ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี และหาดใหญ่ โดยได้ฝึกงานเป็นผู้สื่อข่าวที่ศูนย์ข่าวภูมิภาคที่ใหญ่สุด คือ หาดใหญ่ ในยุคที่ยังมีสงครามระหว่างโจรจีนคอมมิวนิสต์มลายา (จคม.) กับรัฐบาล ในสมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ออกนโยบายใต้ร่มเย็น หรือคำสั่งที่ 66/23
ช่วงการฝึกงานในตอนนั้นได้ทำงานให้ทำข่าวจริงบริเวณชายแดนภาคใต้ เนื่องจากเป็นคนที่มีอายุน้อย หรือหนุ่มที่สุด จึงถูกหัวหน้าเลือกให้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์
จบปริญญาตรีในปี 2524 ได้ทำงานเป็นผู้สื่อข่าวที่ช่อง 11 ช่วงจบทำงานใหม่เงินเดือนข้าราชการไม่พอใช้ คุณแม่ต้องส่งเงินเพิ่มมาให้ใช้ทุกเดือน มีโอกาสได้ทำหลายหน้าที่ทั้งตัดต่อเทปรายการ ยกกล้อง ผู้สื่อข่าว ผู้ประกาศข่าว บรรณาธิการข่าวต่างประเทศ คือ แปลข่าวภาษาอังกฤษให้ผู้ประกาศข่าวอ่าน จนถึงจุดที่คิดว่าต้องพัฒนาตัวเองและอยากกลับเข้ากรุงเทพฯ เพราะคิดว่าชีวิตนั้นผจญภัยมามากแล้ว
ในช่วงเรียนก็มักใช้ชีวิตนอนที่สถานีวิทยุ ไม่ค่อยได้กลับไปนอนที่บ้าน เป็นจังหวะที่ช่วงมีรายการ “ชีพจรลงเท้า” ของช่อง 7 ในตอนนั้นที่กำลังโด่งดังเปิดรับสมัครโปรดิวเซอร์ จึงตัดสินใจกลับเข้ากรุงเทพฯ แต่รู้ว่าได้รับคนไปแล้ว
หลังจากไม่ได้งานที่ช่อง 7 รู้ว่าธนาคารกสิกรไทย ยุค “บัญชา ล่ำซำ” กำลังรับสมัครคนมาทำงานด้านประชาสัมพันธ์ ทราบเหตุผลภายหลังว่าที่ได้งานนี้เพราะคุณบัญชาต้องการคนที่มีทักษะมากกว่าด้านประชาสัมพันธ์ เนื่องจากต้องการบุกเบิกงานประชาสัมพันธ์รูปแบบใหม่ หน้าที่ในตอนนั้นคือการติดตามนายตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ของทุกวันจะมีการประชุมของผู้บริหาร คือ Breakfast Meeting หน้าที่พีอาร์ตอนนั้นคือการทำสรุปประเด็นในการประชุม
จากนั้นเวลา 07.00-08.00 น. จะมาติดตามข่าวหนังสือพิมพ์ทุกฉบับเพื่อทำสรุป “ข่าวเด่นวันนี้” ส่งให้ผู้บริหารอ่านก่อนเวลา 09.30 น. รวมถึงการทำหน้าที่ทำบทพูดให้ผู้บริหารและการทำรายงานประจำปี
สมัยทำงานในธนาคารกสิกรไทยมีความฝันว่าอยากทำงานในองค์กรในฝันอีกแห่งคือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพราะเป็นองค์กรที่ให้ผลตอบแทนและสวัสดิการที่ดีจึงแอบไปสมัครและได้รับเลือกให้ทำงานในฝ่ายสื่อสารองค์กร ตอนนั้นมีบุคลากรรวมประมาณ 300 คน
ทำงานได้อยู่วันเดียวก็ยื่นใบลาออก เพราะเห็นว่าเป็นองค์กรที่มีขนาดใหญ่เกินไปไม่เหมาะสมกับตัวเอง จึงโทรหาเจ้านายเก่าที่ธนาคารกสิกรไทย เขาได้รับกลับมาทำงานใหม่ เมื่อทำงานไปได้สักระยะหนึ่ง มีคน 1-2 คน เข้ามาติดต่อที่ธนาคารเพื่อขายโฆษณาทำแคมเปญได้เงินกลับไป 300-400 ล้านบาท แลกด้วยกระดาษแผ่นเดียว คือ เอเยนซีโฆษณา ประกอบกับตอนนั้นมีรุ่นพี่ลาออกไปทำงานเป็นเอเยนซีโฆษณา และเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เจ้านายตอนนั้น คือ “บัญชา ล่ำซำ” เสียชีวิต และอิ่มตัวกับการงานในธนาคารมาประมาณ 10 ปี จึงตัดสินใจลาออกไปทำเอเยนซี ซึ่งกลุ่ม “โอสถสภา” เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เพราะเสนอเงินเดือนเพิ่มให้ 3 เท่า ทำอยู่ประมาณ 10 ปี
เป็นโอกาสที่ได้เรียนรู้การทำแคมเปญโฆษณา การทำการแผนโฆษณา ที่ต้องกลับมาเรียนรู้ใหม่หลังจากหลบเลี่ยงไปในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย
จุดเริ่มต้นของการได้มาทำงานที่ MCOT ในครั้งแรก เกิดจากยุคของคุณ “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ” ออกจากโตโยต้า มารับตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ของ MCOT ที่ชักชวนเพราะตัวเองสมัยทำงานเป็นเอเยนซีเคยร่วมงานในโครงการถนนสีขาวกับโตโยต้า จึงตัดสินใจมาทำงานที่ MCOT ครั้งแรกประมาณปี 2547-2548 ในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนัก จากนั้นได้ขึ้นเป็นรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานการตลาดและการขาย MCOT
จนถึงปี 2555-2556 ลาออก และย้ายงานมาเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท สปา-ฮาคูโฮโด ทำธุรกิจเอเยนซีโฆษณาทำได้สักพักเกิดทีวีดิจิทัล และปี 2557 ย้ายมาทำงานกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอด คาสติ้ง บุกเบิกสถานีโทรทัศน์พีพีทีวี พอครบเทอมเป็นจังหวะที่ MCOT เปิดรับสมัครกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ จึงมาสมัครแม้ผลตอบแทนจะต่ำกว่าที่พีพีทีวี เพราะเห็นว่าเป็นตำแหน่งงานที่ทำประโยชน์ส่วนรวมให้กับประเทศชาติและองค์กร อีกทั้งยังได้เป็นเกียรติประวัติให้กับตัวเองด้วย
“แต่ละช่วงชีวิตที่ผ่านมามักไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำหรือยังทำได้ไม่สุด พอได้กลับมาทำงานที่ MCOT เป็นครั้งที่ 2 ในตำแหน่งเบอร์ 1 เป็นโอกาสที่จะสร้าง อสมท โดยตั้งเป้าหมายว่าต้องให้กลับไปสู่สถาบันสื่อสารมวลชนระดับชั้นนำอีกครั้ง แม้บริบทสังคมจะเปลี่ยนไป แต่โอกาสยังมีอยู่ ในฐานะสื่อคนหนึ่งที่มีการเรียนรู้มาตลอดชีวิตจะใช้ประสบการณ์ความรู้ที่มีอยู่มาใช้กับองค์กรให้ดีที่สุด”
ปรัชญาการทำงานที่ยึดใช้อยู่เสมอ 3 ข้อ คือ 1.ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน โดยการย้ายเปลี่ยนงานแต่ละที่ของตัวเองจะไปคนเดียว จากนั้นจะเข้าไปสร้างทีมงานใหม่ให้องค์กรที่ไปร่วมงานด้วย รวมถึงการทำงานต้องมี 2.ความคิดที่แตกต่างอยู่ตลอดเวลา 3.เชิงธุรกิจ คือ Financial Thinking คือ คนโกหกได้ แต่ตัวเลขไม่เคยโกหก หมายระบบบัญชีและการเงินที่รายงานออกมาตามความเป็นจริง
ล่าสุด ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา อสมท ขาดทุน 161 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 64 ล้านบาท และส่งผลให้ครึ่งแรกปีนี้ขาดทุน 306 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 211 ล้านบาท
จึงเป็นเรื่องท้าทายสำหรับเขมทัตต์ในการเข้ามารับตำแหน่งผู้นำองค์กรสื่อในยุคขาลง เวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์ว่า เขมทัตต์จะพลิกฟื้นองค์กรแห่งนี้ให้มีกำไรได้หรือไม่
ชีวิตหลังเกษียณเขาวางแผนไว้ว่าจะเขียนหนังสือเพราะเป็นคนชอบคิดแล้วเขียนโดยมองว่าการพบเจอพูดคุยผู้คนในแต่ละวันนั้นถือว่าเป็นครูสามารถช่วย
สร้างความคิดใหม่ให้ตัวเองตลอดเวลาจึงมีเรื่องราวที่จะอยากเล่าหรือถ่ายทอดออกมา แต่ปัจจุบันชีวิตงานประจำไม่มีเวลาเอื้อให้ทำได้มากนัก