posttoday

เขมทัตต์ พลเดช คืนอสมท ธุรกิจสื่อยุคท้าทาย

26 สิงหาคม 2560

“เขมทัตต์ พลเดช” อดีตกรรมการผู้อำนวยการพีพีทีวี เพิ่งเข้ามาเป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท (MCOT) คนใหม่

โดย...ประลองยุทธ ผงงอย

“เขมทัตต์ พลเดช” อดีตกรรมการผู้อำนวยการพีพีทีวี เพิ่งเข้ามาเป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท (MCOT) คนใหม่ เมื่อเดือน เม.ย. 2560 ที่ผ่านมา นับว่าเป็นการย้อนคืนมารับตำแหน่งในองค์กรเดิมที่เขาเคยเป็นรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ช่วงปี 2555 มาก่อน

เขาจบปริญญาตรี คณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขาเอกโทรทัศน์และวิทยุ ซึ่งในตอนนั้นสาขานี้ยังไม่มีคนนิยมเรียนมากนัก ในที่ช่วงเรียนต้องทำสารนิพนธ์ด้วย

ความเป็นคนไฮเปอร์มากช่วงเรียนประมาณปี 2-3 จึงเริ่มออกไปฝึกงานเริ่มจากงานด้านวิทยุได้ทำงานทั้งเป็นผู้สื่อ ลงเสียงจัดรายการวิทยุ ตัดต่อเทปเสียง มิกซ์เพลงเป็นดีเจ ซึ่งกำหนดการฝึกงานจริงคือ 1 เดือน แต่ตัวเองฝึกงานไปเกินกำหนด ทำไปถึง 6 เดือน จนขึ้นปี 4 ต้องเขียนสารนิพนธ์จึงต้องมาฝึกงานด้านโทรทัศน์

ตั้งแต่ช่วงเรียนมีความตั้งใจไว้ว่าจะทำงานที่ อสมท เป็นที่แรก จึงไปขอสมัครฝึกงานที่ อสมท ในช่วงนั้นถนนพระราม 9 ยังไม่มี ซึ่งการเดินทางมายังถนนยังเป็นทางลูกรัง แต่ถูกปฏิเสธกลับมาด้วยเหตุผลว่ามีรุ่นพี่เคยมาสมัครฝึกงานแล้ว แต่กลับไปเที่ยวไม่มาฝึกงาน ทำให้ไม่ได้ฝึกงานที่ อสมท

แต่ด้วยความจำเป็นต้องฝึกงานด้านโทรทัศน์เพื่อทำสารนิพนธ์จึงจำเป็นต้องหาที่ฝึกงานใหม่ ในตอนนั้นจึงเลือกไปสมัครฝึกงานประชาสัมพันธ์ที่สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ที่ตอนนั้นยังเป็นช่องเล็กๆ ทำให้ต้องไปฝึกงานในต่างจังหวัดที่มีศูนย์ข่าวภูมิภาคใน จ.ลำปาง ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี และหาดใหญ่ โดยได้ฝึกงานเป็นผู้สื่อข่าวที่ศูนย์ข่าวภูมิภาคที่ใหญ่สุด คือ หาดใหญ่ ในยุคที่ยังมีสงครามระหว่างโจรจีนคอมมิวนิสต์มลายา (จคม.) กับรัฐบาล ในสมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ออกนโยบายใต้ร่มเย็น หรือคำสั่งที่ 66/23

ช่วงการฝึกงานในตอนนั้นได้ทำงานให้ทำข่าวจริงบริเวณชายแดนภาคใต้ เนื่องจากเป็นคนที่มีอายุน้อย หรือหนุ่มที่สุด จึงถูกหัวหน้าเลือกให้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์

 จบปริญญาตรีในปี 2524 ได้ทำงานเป็นผู้สื่อข่าวที่ช่อง 11 ช่วงจบทำงานใหม่เงินเดือนข้าราชการไม่พอใช้ คุณแม่ต้องส่งเงินเพิ่มมาให้ใช้ทุกเดือน มีโอกาสได้ทำหลายหน้าที่ทั้งตัดต่อเทปรายการ ยกกล้อง ผู้สื่อข่าว ผู้ประกาศข่าว บรรณาธิการข่าวต่างประเทศ คือ แปลข่าวภาษาอังกฤษให้ผู้ประกาศข่าวอ่าน จนถึงจุดที่คิดว่าต้องพัฒนาตัวเองและอยากกลับเข้ากรุงเทพฯ เพราะคิดว่าชีวิตนั้นผจญภัยมามากแล้ว

ในช่วงเรียนก็มักใช้ชีวิตนอนที่สถานีวิทยุ ไม่ค่อยได้กลับไปนอนที่บ้าน เป็นจังหวะที่ช่วงมีรายการ “ชีพจรลงเท้า” ของช่อง 7 ในตอนนั้นที่กำลังโด่งดังเปิดรับสมัครโปรดิวเซอร์ จึงตัดสินใจกลับเข้ากรุงเทพฯ แต่รู้ว่าได้รับคนไปแล้ว

หลังจากไม่ได้งานที่ช่อง 7 รู้ว่าธนาคารกสิกรไทย ยุค “บัญชา ล่ำซำ” กำลังรับสมัครคนมาทำงานด้านประชาสัมพันธ์ ทราบเหตุผลภายหลังว่าที่ได้งานนี้เพราะคุณบัญชาต้องการคนที่มีทักษะมากกว่าด้านประชาสัมพันธ์ เนื่องจากต้องการบุกเบิกงานประชาสัมพันธ์รูปแบบใหม่ หน้าที่ในตอนนั้นคือการติดตามนายตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ของทุกวันจะมีการประชุมของผู้บริหาร คือ Breakfast Meeting หน้าที่พีอาร์ตอนนั้นคือการทำสรุปประเด็นในการประชุม

จากนั้นเวลา 07.00-08.00 น. จะมาติดตามข่าวหนังสือพิมพ์ทุกฉบับเพื่อทำสรุป “ข่าวเด่นวันนี้” ส่งให้ผู้บริหารอ่านก่อนเวลา 09.30 น. รวมถึงการทำหน้าที่ทำบทพูดให้ผู้บริหารและการทำรายงานประจำปี

สมัยทำงานในธนาคารกสิกรไทยมีความฝันว่าอยากทำงานในองค์กรในฝันอีกแห่งคือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพราะเป็นองค์กรที่ให้ผลตอบแทนและสวัสดิการที่ดีจึงแอบไปสมัครและได้รับเลือกให้ทำงานในฝ่ายสื่อสารองค์กร ตอนนั้นมีบุคลากรรวมประมาณ 300 คน

ทำงานได้อยู่วันเดียวก็ยื่นใบลาออก เพราะเห็นว่าเป็นองค์กรที่มีขนาดใหญ่เกินไปไม่เหมาะสมกับตัวเอง จึงโทรหาเจ้านายเก่าที่ธนาคารกสิกรไทย เขาได้รับกลับมาทำงานใหม่ เมื่อทำงานไปได้สักระยะหนึ่ง มีคน 1-2 คน เข้ามาติดต่อที่ธนาคารเพื่อขายโฆษณาทำแคมเปญได้เงินกลับไป 300-400 ล้านบาท แลกด้วยกระดาษแผ่นเดียว คือ เอเยนซีโฆษณา ประกอบกับตอนนั้นมีรุ่นพี่ลาออกไปทำงานเป็นเอเยนซีโฆษณา และเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เจ้านายตอนนั้น คือ “บัญชา ล่ำซำ” เสียชีวิต และอิ่มตัวกับการงานในธนาคารมาประมาณ 10 ปี จึงตัดสินใจลาออกไปทำเอเยนซี ซึ่งกลุ่ม “โอสถสภา” เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เพราะเสนอเงินเดือนเพิ่มให้ 3 เท่า ทำอยู่ประมาณ 10 ปี

เป็นโอกาสที่ได้เรียนรู้การทำแคมเปญโฆษณา การทำการแผนโฆษณา ที่ต้องกลับมาเรียนรู้ใหม่หลังจากหลบเลี่ยงไปในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย

จุดเริ่มต้นของการได้มาทำงานที่ MCOT ในครั้งแรก เกิดจากยุคของคุณ “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ” ออกจากโตโยต้า มารับตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ของ MCOT ที่ชักชวนเพราะตัวเองสมัยทำงานเป็นเอเยนซีเคยร่วมงานในโครงการถนนสีขาวกับโตโยต้า จึงตัดสินใจมาทำงานที่ MCOT ครั้งแรกประมาณปี 2547-2548 ในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนัก จากนั้นได้ขึ้นเป็นรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานการตลาดและการขาย MCOT

จนถึงปี 2555-2556 ลาออก และย้ายงานมาเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท สปา-ฮาคูโฮโด ทำธุรกิจเอเยนซีโฆษณาทำได้สักพักเกิดทีวีดิจิทัล และปี 2557 ย้ายมาทำงานกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอด คาสติ้ง บุกเบิกสถานีโทรทัศน์พีพีทีวี พอครบเทอมเป็นจังหวะที่ MCOT เปิดรับสมัครกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ จึงมาสมัครแม้ผลตอบแทนจะต่ำกว่าที่พีพีทีวี เพราะเห็นว่าเป็นตำแหน่งงานที่ทำประโยชน์ส่วนรวมให้กับประเทศชาติและองค์กร อีกทั้งยังได้เป็นเกียรติประวัติให้กับตัวเองด้วย

“แต่ละช่วงชีวิตที่ผ่านมามักไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำหรือยังทำได้ไม่สุด พอได้กลับมาทำงานที่ MCOT เป็นครั้งที่ 2 ในตำแหน่งเบอร์ 1 เป็นโอกาสที่จะสร้าง อสมท โดยตั้งเป้าหมายว่าต้องให้กลับไปสู่สถาบันสื่อสารมวลชนระดับชั้นนำอีกครั้ง แม้บริบทสังคมจะเปลี่ยนไป แต่โอกาสยังมีอยู่ ในฐานะสื่อคนหนึ่งที่มีการเรียนรู้มาตลอดชีวิตจะใช้ประสบการณ์ความรู้ที่มีอยู่มาใช้กับองค์กรให้ดีที่สุด”

ปรัชญาการทำงานที่ยึดใช้อยู่เสมอ 3 ข้อ คือ 1.ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน โดยการย้ายเปลี่ยนงานแต่ละที่ของตัวเองจะไปคนเดียว จากนั้นจะเข้าไปสร้างทีมงานใหม่ให้องค์กรที่ไปร่วมงานด้วย รวมถึงการทำงานต้องมี 2.ความคิดที่แตกต่างอยู่ตลอดเวลา 3.เชิงธุรกิจ คือ Financial Thinking คือ คนโกหกได้ แต่ตัวเลขไม่เคยโกหก หมายระบบบัญชีและการเงินที่รายงานออกมาตามความเป็นจริง

ล่าสุด ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา อสมท ขาดทุน 161 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 64 ล้านบาท และส่งผลให้ครึ่งแรกปีนี้ขาดทุน 306 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 211 ล้านบาท

จึงเป็นเรื่องท้าทายสำหรับเขมทัตต์ในการเข้ามารับตำแหน่งผู้นำองค์กรสื่อในยุคขาลง เวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์ว่า เขมทัตต์จะพลิกฟื้นองค์กรแห่งนี้ให้มีกำไรได้หรือไม่

ชีวิตหลังเกษียณเขาวางแผนไว้ว่าจะเขียนหนังสือเพราะเป็นคนชอบคิดแล้วเขียนโดยมองว่าการพบเจอพูดคุยผู้คนในแต่ละวันนั้นถือว่าเป็นครูสามารถช่วย

 สร้างความคิดใหม่ให้ตัวเองตลอดเวลาจึงมีเรื่องราวที่จะอยากเล่าหรือถ่ายทอดออกมา แต่ปัจจุบันชีวิตงานประจำไม่มีเวลาเอื้อให้ทำได้มากนัก