ชัยวุฒิสั่งเช็คเพิ่มโครงการเข้าข่ายกิจการรุนแรง
“ชัยวุฒิ” ตั้งรับรอประกาศกิจการรุนแรงสั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมตรวจเช็คเพิ่มโครงการที่ไม่ได้อยู่ในมาบตาพุดแต่เข้าข่ายกิจการรุนแรง
“ชัยวุฒิ” ตั้งรับรอประกาศกิจการรุนแรงสั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมตรวจเช็คเพิ่มโครงการที่ไม่ได้อยู่ในมาบตาพุดแต่เข้าข่ายกิจการรุนแรง
นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ว่า ขณะนี้ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมรวบรวมประเภทกิจการลงทุนที่ไม่ได้อยู่ในมาบตาดพุด และอาจเข้าข่ายต้องปฏิบัติตามร่างประเภทโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ตามประกาศของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ซึ่งจะต้องจัดทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(อีไอเอ) และรายงานผลกระทบด้านสุขภาพ(เฮชไอเอ)
นอกจากนี้ควรเตรียมหามาตรการรองรับเพื่อป้องกันไม่ให้กิจการดังกล่าวได้รับผลกระทบ โดยคาดว่าประกาศประเภทกิจการรุนแรงจะนำเสนอเข้าครม.ในสัปดาห์หน้า หลังจากนั้นน่าจะสามารถประกาศออกมาได้
“ขณะนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่ามีโครงการใดเข้าข่ายประเภทกิจการรุนแรงบ้างต้องรอรายละเอียดของประกาศประเภทกิจการรุนแรงออกมาให้ชัดเจนก่อนจึงจะสามารถจัดประเภทของแต่ละโครงการได้ ซึ่งผมขอให้มีการพิจารณาในส่วนของโครงการที่ไม่ได้อยู่ใน 76 โครงการด้วย โดยทางกรมโรงงานอุตสาหกรรมและกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานเหมืองแร่(กพร.) จะเป็นผู้พิจารณาและส่งมาให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมรวบรวมอีกครั้ง”นายชัยวุฒิ กล่าว
ด้านนายสมเกียรติ ภู่ธงชัยฤทธิ์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่(กพร.) กล่าวว่า สำหรับกิจการในส่วนที่กพร.รับผิดชอบและเป็นโครงการที่เข้าข่ายกิจการรุนแรง คือ เหมืองแร่เหล็ก ตะกั่ว ทองคำ เหมืองแร่ในทะเล ซึ่งยอมรับว่าเอกชนมีข้อกังวลว่ากิจการบางอย่างที่ได้ใบอนุมัติ อนุญาตประทานบัตร ไปแล้วหลังรัฐธรรมนูญปี 2550 มีผลบังคับใช้ เพราะหากเข้าข่ายกิจกีรรุนแรงจะต้องเข้าสู่กระบวนการทำเฮชไอเอ โดยมีคำถามตามมาว่าจะต้องหยุดกิจการชั่วคราวหรือไม่ ประเด็นเหล่านี้จะต้องทำให้เกิดความชัดเจน
นายยงยุทธ เพ็ชรสุวรรณ ประธานสภาการเหมืองแร่ กล่าวว่า ผู้ประกอบการค่อนข้างกังวลถึงประกาศกิจการรุนแรงที่จะออกมาจะครอบคลุมเหมืองทั่วไปหรือไม่ แม้ร่างประกาศเบื้องต้นที่ออกมาจะไม่เข้าข่ายก็ตาม แต่ถ้าภาคประชาชนโดยเฉพาะสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนได้มีหนังสือเตือนมาให้ทำ เฮชไอเอด้วย
ก่อนหน้านี้ได้เสนอในคณะกรรมการ 4 ฝ่ายฯ ว่า ถ้าเหมืองทั่วไปเป็นกิจการรุนแรง จะทำให้ผู้ที่ได้ใบอนุญาตหลังปี 2550 ที่มีอยู่ประมาณราว 181 กิจการจะต้องทำ เฮชไอเอ ต้องหยุดกิจการชั่วคราวเพื่อผ่านกระบวนการตามมาตรา 67(2) ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างมากโดยเฉพาะอุตสาหกรรมก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับเหมืองหิน ยิปซั่ม
ด้านนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า ตามรัฐธรรมนูญปี 2550 ได้เปิดโอกาสให้ชุมชนสามารถฟ้องร้องได้หากเห็นว่ากิจการใดมีผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมดังนั้นเชื่อว่าภาพรวมเอกชนคงไม่ต้องการให้มีปัญหาตามมา แม้ไม่เข้าข่ายกิจการรุนแรงก็คงจะทำ เฮชไอเอไว้ล่วงหน้าเพื่อใช้ประกอบกับอีไอเออยู่แล้ว ส่วนกิจการใดที่คลุมเคลืออาจจะต้องผ่านกระบวนการวินิจฉัยซึ่งเท่าที่พิจารณากิจการที่จะเข้าข่ายรุนแรงมีไม่มาก