ยี่ห้อไทยไร้น้ำยาแข่งระดับอาเซียนเอสเอ็มอี40รอด10แบรนด์
หอการค้าฯ ประเมินเสรีอาเซียนกระทบตราสินค้าไทย ส่วนใหญ่ยังปรับตัวไม่ทัน โดยเฉพาะเอสเอ็มอี 40 ยี่ห้อ เหลือแข่งไหวแค่กว่า 10 แบรนด์
หอการค้าฯ ประเมินเสรีอาเซียนกระทบตราสินค้าไทย ส่วนใหญ่ยังปรับตัวไม่ทัน โดยเฉพาะเอสเอ็มอี 40 ยี่ห้อ เหลือแข่งไหวแค่กว่า 10 แบรนด์
นายฉัตรชัย บุญรัตน์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยในการสัมมนาเรื่อง “เอเอฟทีเอ โอกาสและความท้าทายของแบรนด์ไทย” จัดโดยคณะกรรมการส่งเสริมตราสินค้าไทย หอการค้าไทยว่า ผู้ประกอบการไทยรู้จักตลาดจากการเปิดเสรีอาเซียนหรืออาฟตาน้อยมาก โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอี) พบว่ามีเพียงกว่า 10 ยี่ห้อเท่านั้นที่ได้รับการยอมรับจากตลาด ส่วนที่เหลืออีกกว่า 40 แบรนด์ต้องทำตลาดในประเทศไทย ต่างจากผู้ประกอบการธุรกิจในประเทศอื่น เช่น มาเลเซีย ที่มีตราสินค้าระดับภูมิภาค (รีจินัล แบรนด์) จำนวนมากกว่า และเป็นที่รู้จักในตลาด
ทั้งนี้ การสร้างแบรนด์หรือตราสินค้าไทยให้เป็นที่ยอมรับ เป็นสิ่งจำเป็นต่อการทำตลาดอาฟตา เพื่อชิงความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ จากการที่ประเทศไทยจะเข้าสู่เวทีการค้าเสรีอาเซียน (อาฟตา) ในเดือนม.ค. 2553 หรืออีกราว 3 เดือนข้างหน้านับจากนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียนเก่า 5 ประเทศ คือ ไทย บรูไน สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย โดยสินค้าเกือบทุกรายการจะปรับเพดานภาษีเหลืออัตรา 0% ยกเว้นสินค้าบางรายการที่มีความอ่อนไหว
นายฉัตรชัย กล่าวว่า ผู้ประ กอบการไทยจำเป็นต้องเตรียมความพร้อม และรับทราบกฎระเบียบ หรือผลกระทบต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นหลังเข้าสู่ตลาดอาฟตา เช่น การลงทุน การเคลื่อนย้ายทุน แรงงาน เป็นต้น จากการที่แต่ละประเทศจะเชื่อมโยงเครือข่ายใน 10 ประเทศให้เป็นตลาดเดียวกัน ด้วยจำนวนประชากรอาเซียนรวมกันกว่า 570 ล้านคน
ด้านนางมาลี โชคล้ำเลิศ ผู้อำนวยการสำนักแผนพัฒนาการส่งออก กรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ขณะนี้กลุ่มผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องเร่งปรับตัวให้แข่งขันในตลาดอาฟตา ซึ่งเป็นไปตามแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลกใน 20 ปีข้างหน้า ประกอบด้วยการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจในภูมิภาค เศรษฐกิจโลกจะเปลี่ยนศูนย์กลางอำนาจ กระจายมาอยู่ประเทศแถบเอเชียมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงด้านการเงินโลก กลุ่มประชากรสูงอายุ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีกับการดำรงชีวิตมนุษย์ ปัญหาด้านพลังงาน ปัญหาภัยคุกคามจากภาวะโลกร้อน
ขณะที่ความท้าทายและโอกาสของเศรษฐกิจไทยในระยะสั้น เห็นว่าควรรักษาอัตราการขยายตัวและลดความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ส่วนระยะยาวประเทศไทยควรปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ด้วยการสร้างโอกาสจากการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ หรือประชาคมอาเซียน (เอซีอี) ในปี 2558 คือการสร้างตลาดขนาดใหญ่ รองรับประชากร 550 ล้านคน ส่งเสริมแหล่งวัตถุดิบ เพิ่มอำนาจการต่อรอง