เอ็กซ์โป มิลาโน 2015 น่าจะดีกว่านี้ถ้า...
ประเทศไทยได้เข้าร่วมงาน เอ็กซ์โป มิลาโน 2015 (Expo Milano 2015) มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 พ.ค. – 31 ต.ค. 2558 เมืองมิลาน สาธารณรัฐอิตาลี
สิทธิณี ห่วงนาค
ประเทศไทยได้เข้าร่วมงาน เอ็กซ์โป มิลาโน 2015 (Expo Milano 2015) มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 พ.ค. – 31 ต.ค. 2558 เมืองมิลาน สาธารณรัฐอิตาลี โดยรัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณการจัดงานจำนวน 680ล้านบาท ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับผิดชอบ เมื่อปี 2557 แนวคิดหลักของการจัดงานในครั้งนี้คือ “อาหารหล่อเลี้ยงโลก พลังงานหล่อเลี้ยงชีวิต” (Feeding the Planet, Energy for Life) ซึ่งต่อมากระทรวงเกษตร ฯ ได้ตั้งคณะทำงานในกระทรวงและกำหนดคัดเลือกหัวข้อหลักในการเข้าร่วมงานครั้งนี้คือ“การหล่อเลี้ยงโลกอย่างยั่งยืน” (Nourishing and Delighting the World) เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมในฐานะ “ครัวของโลก” เพราะแม้จะเป็นประเทศเล็กๆ แต่สามารถส่งออกสินค้าเกษตรเป็นลำดับต้นๆของโลก ผลการจัดงานแม้ว่าจะมียอดผู้เข้าชมประมาณ 2 ล้านคนตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่อีกด้านหนึ่งก็พบว่ามีการวิจารณ์ถึงรูปแบบการจัดงานที่หลายด้านต้องปรับปรุง
นายโอฬาร พิทักษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ในฐานะกรรมการจัดงานหลักครั้งนี้กล่าวว่าผลการจัดงานเป็นที่น่าพอใจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่รับผิดชอบในการงานครั้งนี้ รัฐบาลก็พอใจ และผลสำรวจคนเข้าชมงานก็พอใจ โดยเฉพาะห้องแสดงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงงานในทุกพื้นที่ของประเทศในท้องถิ่นทุรกันดาร และพระปรีชาสามารถในการพัฒนาดินและน้ำจนทั่วโลกให้การยอมรับ มียอดเข้าชมอาคารของไทยตลอด 6 เดือน ทั้งสิ้นกว่า 2.3 ล้านคนของ ผู้เข้าชมงานทั้งสิ้น 21 ล้านคน ใน 6 เดือน
ทั้งนี้ ในการดำเนินงานกระทรวงเกษตรฯได้มีการตั้งคณะกรรมการจัดงานขึ้นมาเพื่อบริหารโครงการและมีการประมูลโครงการจัดการ ปรากฏว่าบริษัท กิจการร่วมค้า เวิร์กไรต์ซึ่งเป็นการร่วมตัวระหว่างบริษัทไรท์แมน และเวิร์คพอยค์เป็นผู้ได้รับงานดังกล่าว โดยเป้าหมายของการจัดคือจำนวนตัวเลขคนเข้าชมตลอดเวลาจัดงานไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน จากตัวเลขผู้เข้มชมงานที่เจ้าภาพคาดว่าจะมีไม่ต่ำกว่า 20 ล้านคน
“เป้าหมายของรัฐบาลคือการเผยแพร่ให้นานาชาติได้รู้จักประเทศไทย ในฐานะเป็นประเทศเล็กๆ ว่าทำไมไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรคุณภาพดีในลำดับต้นๆได้ซึ่งกว่าจะได้รูปแบบงานออกมามีการประชุมของคณะทำงานต่อเนื่องกันนับปีและตลอดการจัดงานก็จะมีการปรับรูปแบบกันตลอดเพื่อให้อาคารของไทยเป็นที่สนใจของผู้เข้าชมที่มาจากทั่วโลก“
สำหรับอาคารจัดแสดงนิทรรศการ ฝีมือโดย นายสมิตร โอบายะวาทย์ ในรูปแบบของ “ งอบ” ที่เป็นสัญญาลักษ์ชาวนาไทย เพื่อสื่อถึงประเทศเกษตรกรรม ปรากฏว่าได้รับเสียงชื่มชมจากสื่อหลายประเทศ ว่าเป็นพาวิลเลียมที่มีการออกแบบได้น่าสนใจและติด 1 ใน 5 ของอาคารนิทรรศการที่ควรจะต้องมาแวะชม เช่นwww.xinhuanet.com ของจีน และ www.italy24.ilsole24ore.com ประเทศอิตาลี ได้จัดอันดับให้อาคารแสดงประเทศไทย ติดอันดับ 1 ใน 5 กระแสใน Social Network ที่มีคนชื่นชอบมากที่สุด จาก 140 กว่าประเทศที่เข้าร่วมงาน และด้วยรูปทรงที่น่าสนใจประกอบกับพื้นที่ที่ติดกับลำธาร ทำให้อาคารของไทยเป็นจุดที่ถูกถ่ายรูปจากนักท่องเที่ยวที่เข้าชมงานมากเช่นกัน
สำหรับในส่วนของการจัดแสดงได้แบ่งเป็นห้องๆ ประกอบด้วยห้องที่ 1 ชื่อ สุวรรณภูมิ (Golden Land) เป็นโซนที่จัดแสดงเนื้อหาความมั่งคั่งของประเทศไทยในแง่ทรัพยากรธรรมชาติที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ และมีความอุดมสมบูรณ์ทางวิถีการเกษตร ผ่านการนำเสนอเทคนิคโฮโลแกรมม่านน้ำ3 มิติ
ห้อง ที่ 2 นำเสนอนิทรรศการข้อมูลการส่งออกสินค้าเกษตรที่โดดเด่นของไทยไปยังตลาดโลกรวม5 ชนิดสินค้า คือ ข้าว ผลไม้ มันสำปะหลัง เนื้อไก่แปรรูป สินค้าประมง ซึ่งได้รับการยอมรับในมาตรฐานการผลิตในระดับโลก
ห้องจัดแสดงที่ 3 กษัตริย์แห่งเกษตร (King of Agriculture)เป็นห้องฉายภาพยนตร์ ที่ผสมผสานเทคนิคม่านน้ำพิเศษนำเสนอโครงการพระราชดำริด้านการเกษตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกษัตริย์แห่งการเกษตร ปราชญ์แห่งดินและน้ำ
อย่างไรก็ตามจากการเข้าชมสื่อมวลชนพบว่ารูปแบบการจัดแสดง ไม่แตกต่างจากการจัดในงานมหกรรมพืชสวนโลก และรูปแบบการจัด เป็นการแสดงแบบสื่อสารฝ่ายเดียว ที่ผู้ชมจะถูกต้อนเข้าห้องแล้วดูหนังสั้น จบใน 5 -10 นาที แล้วเดินไปห้องต่อไป ต่างจากประเทศอื่นที่จะมีการจัดโดยให้ผู้เข้าชมได้ส่วนร่วมในแต่ละส่วนด้วย เช่น อาคารนิทรศการของประเทศเยอรมัน ที่จะแจกกระดาษแข็งสีขาว ทำหน้าที่เสมือนจอภาพ ที่ผู้เข้าชมต้องถือติดตัวและใช้ในการชมการแสดงที่ผ่านเครื่องฉาย เสมือนกับตัวเรากลายเป็นแมลง เช่นผึ้งที่บินว่อนไปในดอกไม้ หรือฝูงสัตว์ ที่วิ่งท่ามกลางทุ่งหญ้า และการแสดงให้เห็นถึงการสังเคราะห์แสงของต้นไม้ ว่าในขบวนการสังเคราะห์ดังกล่าว พืชได้ทิ้งประโยชน์มหาศาลอะไรไว้ให้กับมวลมนุษย์โลก ในขณะที่อังกฤษ จะทำให้ผู้เข้าชมได้ฝึกทักษะ ทั้งตา หู จมูก เช่นการใช้ไม้จิ้มแตะสัมผัสกับการบินของฝูงผึ้ง ในขณะที่จีน ซึ่งถือว่าทำได้ยิ่งใหญ่ ได้สร้างการรับรู้ถึงวิถีแห่งจีน ผ่านรูปปั้นแสดงวิธีการทำเป็ดปักกิ่งจากฟาร์ม ถึงโต๊ะอาหาร หรือการแสดงให้เห็นความสำคัญของครอบครัวที่ยึดเอาการตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ บรรพบุรุษ ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญของมนุษย์ด้วยเทศกาลตรุษจีนวัฒนธรรมสำคัญของคนจีน
นายโอฬาร ยอมรับว่า รูปแบบการจัดมีข้อสังเกตที่สำคัญหลายด้านที่นักวิชาการและผู้ใหญ่ในบ้านเมืองได้ตั้งข้อสังเกตไว้ เพื่อให้นำไปปรับปรุงแก้ไข ซึ่งทางผู้จัดได้น้อมรับมาดำเนินการปรับปรุงในภายหลัง ซึ่งเหตุทำสำคัญที่ทำไม่ได้ดั่งใจของคณะผู้จัดเองก็คือ งบประมาณ และ การนำเข้าสิ่งของหลายอย่างที่ขัดกับ
“เงื่อนไขของสหภาพยุโรปในการนำเข้าสินค้าอุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งความอ่อนไหวต่อกลิ่น รสของคนยุโรปทำให้การนำเข้าอาหารไทยบางชนิดหรือการแสดงให้สัมผัสถึงกลิ่นของอาหารไทยไม่สามารถทำได้อย่างไรก็ตามยอมรับว่าการแสดงนิทรรศการของไทยบางจุดเป็นนิทรรศการที่สื่อสารทางเดียวจริงและไม่ได้ดึงดูดความน่าสนใจมากนัก โดยเฉพาะการแสดงให้เห็นความสำคัญของข้าว วิถีชีวิตของคนไทยที่ผูกพันกันข้าว ก็มีคำแนะนำว่า ต้องแสดงให้เห็นว่า วิธีรับประทานข้าวของคนไทยเป็นอย่างไร คนไทยทานข้าวกับอาหารหลากหลายชนิด ซึ่งจะเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมอาหารไปได้อีกทางหนึ่ง เป็นต้น ซึ่งทางคณะผู้จัด ได้น้อมรับในระยะต่อมา ซึ่งในห้องกษัตริย์เกษตร ก็พบว่าเมื่อชาวต่างชาติชมฉบับคัดย่อที่เรานำงานในโครงการพระราชดำริ หรือโครงการฝนหลวงมาฉาย ฝรั่งยังมาถามว่า คิงทำอย่างนี้จริงหรือ คิงต้องทำงานด้วยหรือ ซึ่งเมื่อเป็นฝรั่งชม เขาเข้าใจ แต่หากเป็นคนไทยชม อาจคิดว่า เสนอน้อยไป หากเทียบกับพระมหากรุณาธิคุณนารับประการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “
สำหรับกรณีที่นำอาหารสำเร็จรูปของเอกชนบางรายมาจำหน่าย จนกลายเป็นร้านจำหน่ายสินค้าจัด ไม่ใช้การแสดงความหลากหลายของสินค้าไทยนั้น อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ระบุว่า เดิมจะจัดแสดงหลายอย่าง แต่ติดขัดที่ หลายชนิด อียูไม่ให้นำเข้า จึงมาจบที่อาหารที่มีการส่งออกมาแล้วและผ่านมาตรฐานอียูทั้งหมด และจากเดิมที่จะให้ร้านอาหารไทยในอิตาลีมาจัดขาย ต่อมาคณะกรรมการทบทวนแล้วเห็นว่าไม่เหมาะสม เพราะหลังงานเลิก ประโยชน์ก็จะตกแก่ร้านนั้นๆ เพียงไม่กี่ร้านแต่หากนำสินค้าที่ไทยส่งออกมาขาย ท้ายที่สุดคนไทยได้ เพราะวัตถุดิบทั้งหมดมาจากประเทศไทย ตั้งแต่ข่า ตระไคร้ ในเครื่องแกง จนถึงปศุสัตว์ และอาหารทะเล และพบว่าอาหารพร้อมบริโภคของไทยขายดีและต่างชาติชอบในรสชาติมาก
อย่างไรก็ตามหลังงานเสร็จสิ้นกระทรวงเกษตรฯได้รายงานผล ต่อคณะรัฐมนตรี ว่ามียอดเข้าชมงานตลอด 6 เดือน ทั้งสิ้นกว่า 2.3 ล้านคน เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้คือ 2 ล้านคน จำนวน 10% จากยอดรวมผู้เข้าชมงาน เอ็กซ์โป มิลาโน 2015 ที่ 21 ล้านคน มีประเทศร่วมจัดงาน จาก 145 ประเทศ
สื่อมวลชนต่างชาติทั้งสื่อหลัก และสื่อสังคมออนไลน์ที่จัดให้ไทยติดอันดับ 1 ใน 5ของอาคารแสดงที่มีคนชื่นชอบและได้รับความนิยม ร่วมกับอีก 4 ประเทศ คือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ญี่ปุ่น อาเซอร์ไบจาน และคาซัคสถาน มียอดจำหน่ายสินค้าอาหารภายในอาคารแสดงประเทศไทยตลอด 6 เดือน มีมูลค่ารวม 50 ล้านบาท โดย 5 อันดับสินค้าที่ขายดีของไทยประเภทต่างๆ ได้แก่ อาหารพร้อมทาน คือ 1.ผัดไทย 2.ข้าวหอมมะลิแกงมัสมั่น 3.ข้าวหอมมะลิแกงหน่อไม้ 4.ข้าวหอมมะลิแกงกะหรี่ 5.ไก่ย่าง อาหารพร้อมปรุง คือ 1.ข้าวหอมมะลิ 2.ชุดผัดไทย พร้อมปรุง 3.ซอสพริก4.ซอสงา 5.ชุดก๋วยเตี๋ยวต้มยำพร้อมปรุง ประเภทเครื่องดื่มและขนมหวาน 1.ไอศกรีมมะพร้าว 2.น้ำมะพร้าว 3.น้ำมะม่วง 4.น้ำมังคุด 5.น้ำลิ้นจี่
ผลสำรวจความพึงพอใจของผู้เข้าชมงานชาวต่างชาติ ที่มีต่ออาคารแสดงประเทศไทย จากจำนวนผู้ตอบแบบสอบถาม 4,000 คนพบว่าผู้เข้าชมงาน 92 % มีความพึงพอใจต่อรูปแบบทรงงอบของอาคารแสดงประเทศไทย 87 %มีความพึงพอใจต่อเทคนิคการนำเสนอนิทรรศการทั้ง 5 โซนของอาคารแสดงประเทศไทย 82 % มีความพึงพอใจในการแสดงสินค้าและอาหารไทยในโซน และ 94% เกิดความสนใจที่จะมาท่องเที่ยวประเทศไทยเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ทั้งนี้ พาวิลเลี่ยนไทยมีพื้นที่จัดแสดง 2,947 ตารางเมตร เป็น 1 ใน 12 ประเทศที่มีพาวิลเลี่ยนขนาดใหญ่ที่สุดภายในงาน เทียบเท่าประเทศยักษ์ใหญ่อย่าง จีน ญี่ปุ่น หรือสหรัฐอเมริกา สำหรับการจัดงาน World Expo ปี 2020 จะจัดขึ้นที่ นครดูไบ
ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ในอีก 5 ปีข้างหน้า ภายใต้แนวคิด “Connecting Minds, Creating the Fufure”