ยกเครื่องนำเข้าวัตถุอันตรายลดปัญหานำเข้าผิดกม.

กรอ.ยกเครื่องเกณฑ์นำเข้าวัตถุอันตราย จัดทำเนียบสารเคมีแห่งชาติ ลดปัญหานำเข้าผิดกฎหมาย

นางอรรชกา สีบุญเรือง ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการใช้ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ระหว่างหน่วยงานรับผิดชอบตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 จำนวน 6 หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมวิชาการเกษตร กรมประมง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมปศุสัตว์ และกรมธุรกิจพลังงาน ว่า ความร่วมมือดังกล่าวเกิดขึ้นเพื่อยกระดับการจัดการวัตถุอันตรายของไทยจากเน้นควบคุมสารอันตราย หรือ Toxic Policy เป็นการควบคุมสารเคมีทั้งระบบ หรือ Chemicals Policy ซึ่งเป็นระบบที่หลายประเทศใช้ ทั้งสหภาพยุโรป สวีเดน สโลเวเนีย สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และกลุ่มเอเชีย ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี รวมทั้งประเทศใกล้เคียงกับไทย ได้แก่ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เวียดนาม

“ปัจจุบันไทยกำหนดสารเคมีที่ต้องขอนุญาตก่อนนำเข้าเป็น 6 บัญชีจาก 6 หน่วยงานรับผิดชอบ ทำให้มีสารเคมีรวมทั้งสิ้น 1,535 รายการ ดังนั้นการจัดการสารเคมีของไทยเป็นแบบควบคุมทั้งระบบจะทำให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น มีระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาจัดการเชื่อมโยงข้อมูลใช้เวลาสั้นลง จากที่ผ่านมาจะเดินเรื่องผ่านเอกสารเป็นหลัก”นางอรรชกากล่าว

นอกจากนี้เพื่อให้เอกชนสะดวกในการประสานงานและสร้างความเข้าใจ ในการขอนำเข้าสารเคมีมากขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติที่เข้าใจเองว่าสารเคมีที่ใช้ในประเทศตนสามารถใช้ในประเทศไทยได้ กรมโรงงานฯ ในฐานะหน่วยงานกลางเตรียมจัดทำทำเนียบสารเคมีแห่งชาติ ภายใน 3 เดือนข้างหน้า เพื่อแสดงรายชื่อสารเคมี มั่นใจว่าจะลดปัญหาการนำเข้าสารเคมีผิดกฎหมาย เพราะเกิดจากความไม่เข้าใจ ประกอบกับสารเคมีที่เกิดปัญหานำเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาตมักอยู่ในรูปตัวทำละลาย ทำให้การตรวจสอบเบื้องต้นอาจเล็ดลอดเข้ามาได้

สำหรับผู้นำเข้าสารเคมีที่ตั้งใจฝ่าฝืนกฎหมาย หากเป็นสารเคมีที่ใช้ในประเทศได้แต่ต้องขออนุญาตก่อนนำเข้า จะได้รับโทษปรับไม่เกิน 2.5 หมื่นบาท แต่หากเป็นสารเคมีที่ห้ามนำเข้ามาในประเทศไทย หรือวัตถุอันตราย ชนิด 4 อาทิ สารก่อมะเร็ง สารเคมีที่ใช้ในการเกษตร จะได้รับโทษปรับ 1 ล้านบาท และจำคุกไม่เกิน 10 ปี

ขณะที่ นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า แนวทางดำเนินการของภาครัฐเพื่อจัดการบัญชีวัตถุอันตราย หากสามารถทำให้ขั้นตอนต่างๆ สะดวกมากขึ้น จะทำให้เอกชนดำเนินธุรกิจง่ายขึ้น เกิดประโยชน์ทั้งเอกชนและภาครัฐเอง อย่างไรก็ตามหากเปิดโอกาสให้เอกชนเข้าไปร่วมทำงานด้วยก็จะทำให้การจัดการวัตถุอันตรายของประเทศเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น