posttoday

เจโทรหนุนไทยแก้คอร์รัปชั่น

18 กรกฎาคม 2557

เจโทรยันญี่ปุ่นยังเชื่อมั่นไทย แนะไทยใช้โอกาสปรับปรุงเรื่องความโปร่งใส ลดคอร์รัปชั่น ด้านบีโอไอเผยผลสำรวจนักลงทุน 98% มั่นใจ 74% ลงทุนต่อ 24% มีแผนขยายการลงทุน

เจโทรยันญี่ปุ่นยังเชื่อมั่นไทย แนะไทยใช้โอกาสปรับปรุงเรื่องความโปร่งใส ลดคอร์รัปชั่น ด้านบีโอไอเผยผลสำรวจนักลงทุน 98% มั่นใจ 74% ลงทุนต่อ 24% มีแผนขยายการลงทุน

นายเซ็ตสึโอะ อิอุจิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) เปิดเผยภายในงานสัมมนา “เชื่อมั่นหรือหวั่นไหว ประเทศไทยในสายตานักลงทุน” ว่า นักลงทุนญี่ปุ่นยังคงเชื่อมั่นประเทศไทย และหวังว่าประเทศไทยจะใช้โอกาสในครั้งนี้พัฒนาประเทศในระยะกลางและระยะยาวทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งสิ่งที่นักลงทุนญี่ปุ่นต้องการเห็นมากที่สุด ได้แก่ ความโปร่งใส และความมีธรรมมาภิบาลในองค์กรทั้งรัฐและเอกชน

ขณะเดียวกันต้องลดการแทรกแซงตลาด ให้ตลาดได้ดำเนินไปอย่างเสรี และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้มากขึ้น ตลอดจนการพัฒนาการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน ถนน เส้นทางระเบียงเศรษฐกิจ และโครงสร้างพื้นฐานในด้านระบบที่เอื้อต่อการค้าการลงทุน เช่น ระบบศุลกากร การบริการด้านการขนส่งสินค้า ขั้นตอนกฎระเบียบต่างๆ เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากต้องเร่งพัฒนา รวมทั้งหวังว่าไทยจะพิจารณาทบทวนโครงการรถไฟความเร็วสูงในอนาคต

“หวังว่าไทยจะใช้ประโยชน์จากการปฏิรูป เปลี่ยนแปลงในครั้งให้มากที่สุด โดนให้ความสำคัญกับเรื่องความโปร่งใส ลดคอร์รัปชั่น เพราะจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการทำธุรกิจ และนำมาซึ่งความยุติธรรม” นายอิอุจิ กล่าว

สำหรับการลงทุนของนักลงทุนญี่ปุ่น ญี่ปุ่นได้เข้าไปลงทุนในประเทศจีนและอาเซียนเป็นจำนวนมาก โดยในช่วงที่ผ่านมาได้เน้นการลงทุนในอาเซียนมากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศไทย และได้ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตขยายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน

น.ส.รัชดา เจียสกุล หุ้นส่วนและผู้อำนวยการ กลุ่มที่ปรึกษาเศรษฐกิจและธุรกิจ บริษัทโบลลิเกอร์ แอนด์ คอมพานี (ประเทศไทย) กล่าวว่า จากผลสำรวจความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติในประเทศไทยประจำปี 2557 จากนักลงทุนจำนวน 600 บริษัท พบว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ 98% มีความเชื่อมั่นต่อประเทศไทย โดย 74% มีแผนจะรักษาระดับการลงทุนในไทย 24% มีแผนจะขยายการลงทุนในไทย และ 2% อาจลดระดับการลงทุน รวมทั้งไม่มีนักลงทุนรายใดเตรียมถอนการลงทุนจากไทย

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้ต่างชาติยังรักษาระดับการลงทุนอยู่ เนื่องจาก ไทยมีบริษัทรับช่วงการผลิตและมีวัตถุดิบเพียงพอ นักลงทุนมั่นใจในระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ มีความสะดวกในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และค่าจ้างแรงงานฝีมือมีความเหมาะสม ซึ่งหากเปรียบเทียบปัจจัยที่ส่งผลต่อการลงทุนของไทยกับกลุ่มประเทศอาเวียนแล้ว พบว่า ไทยเป็นรองเพียงสิงคโปร์ประเทศเดียวเท่านั้น

นอกจากนี้ นักลงทุนต่างชาติยังคาดการณ์ว่า ในปี 2558 จะมีผลประกอบการดีขึ้น ทั้งในส่วนของรายได้รวม รายได้จากต่างประเทศ และรายได้จากตลาดในประเทศ

นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า นักลงทุนญี่ปุ่นยังคงเป็นห่วงเรื่องการแก้ปัญหาระบบการบริหารจัดการน้ำของไทย เพราะเป็นปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งปัญหาดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อคนงาน และกำลังซื้อของผู้บริโภคภายในประเทศ ขณะที่ปัญหาคอร์รัปชั่นถ้ายังคงมีอยู่ หรือสถานการณ์กลับไปสู่สภาพเดิม การพัฒนาประเทศและการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันคงทำไม่ได้

ทั้งนี้ การเติบโตของเศรษฐกิจจากนี้ไปจะเติบโตแบบไม่หวือหวา การที่คงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ออกไปอีก 1 ปี จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชน ซึ่งจะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตได้ เพราะขณะนี้ไทยต้องการแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีการเติบโต เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากต่างชาติกลับคืนมา

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยน่าจะเติบโตได้ 4.2% หากเฉลี่กับครึ่งปีแรก จะทำให้ทั้งปีเติบโตเฉลี่ย 2% ซึ่งเป็นการเติบโตที่ดี แต่ประเทศไทยยังคงมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง และปัญหาคอร์รัปชั่น