posttoday

เผยหนี้สินเกษตรกรยังมีแนวโน้มพุ่งต่อเนื่อง

04 มิถุนายน 2557

ม.เกษตรฯ เผยภาวะหนี้สินครัวเรือนเกษตรมีแนวโน้มเพิ่มต่อเนื่อง ระบุเงินค่าจำนำข้าวช่วยให้ชำระหนี้เพิ่มได้เพียง 1,150 บาทต่อครัวเรือน

ม.เกษตรฯ เผยภาวะหนี้สินครัวเรือนเกษตรมีแนวโน้มเพิ่มต่อเนื่อง ระบุเงินค่าจำนำข้าวช่วยให้ชำระหนี้เพิ่มได้เพียง 1,150 บาทต่อครัวเรือน

นายกัมปนาท  เพ็ญสุภา  รองคณบดีฝ่ายวิจัย ผอ.ศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ประยุกต์มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ (มก.)  เปิดเผยว่า   ศูนย์ติดตามและพยากรณ์เศรษฐกิจการเกษตร (KU - OAE Foresight Center : KOFC) ได้วิเคราะห์ถึงสถานการณ์ภาวะหนี้สินครัวเรือนเกษตรในปัจจุบัน ซึ่งหนี้สิน นับเป็นปัญหาที่หยั่งรากลึกในสังคมเกษตรกรรมของไทย และเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าภาคการเกษตรต้องพึ่งพาธรรมชาติ การผันผวนของธรรมชาติส่งผลให้เกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศตกอยู่ภายใต้ภาวะหนี้สิน โดยปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดความยากจนของเกษตรกรก็คือหนี้สินของครัวเรือนเกษตร

จากข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (2557) ชี้ให้เห็นว่า ครัวเรือนภาคการเกษตรมีหนี้สินเพิ่มขึ้นจาก 204,117 บาทในปี 2542 เป็น 456,339  ล้านบาทในปี 2555 ในขณะที่สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนภาคการเกษตรต่อ GDP เพิ่มขึ้นจาก  0.71 % ในปี 2542 เป็น  1.10% ในปี 2555

โดยขนาดหนี้สินและทรัพย์สินทางการเกษตรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกัน ในปี 2538/2539 ครัวเรือนเกษตรมีหนี้สิน 24,672 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มเป็น 76,697 บาทต่อครัวเรือนในปี 2554/2555 คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น 6.15 %ต่อปี ในขณะที่มูลค่าทรัพย์สินนั้น ในปี 2538/2539 ครัวเรือนเกษตรมีมีมูลค่าทรัพย์สินทางการเกษตร 964,372 บาทต่อครัวเรือน และเพิ่มขึ้นเป็น 1,029,218 บาทต่อครัวเรือนในปี 2554/2555 คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น 0.34% ต่อปี

จากสัดส่วนการเปลี่ยนแปลงของขนาดหนี้สินและทรัพย์สินทางการเกษตร แสดงให้เห็นว่า อัตราการเพิ่มขึ้นของหนี้สินครัวเรือนภาคเกษตรมากกว่าการเพิ่มขึ้นของทรัพย์สินทางการเกษตร โดยเกษตรกรในทุกภาคมีการเพิ่มขึ้นของทรัพย์สินทางการเกษตรเช่นเดียวกัน แต่มีอัตราการเพิ่มขึ้นน้อยกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของหนี้สินในครัวเรือนเกษตร

เมื่อจำแนกในแต่ละภาค พบว่า เกษตรกรในภาคกลาง ถือเป็นภาคที่มีอัตราการเพิ่มขึ้นของทรัพย์สินทางการเกษตรสูงที่สุดเฉลี่ย 1.76% ต่อปี รองลงมาได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ ที่มีอัตราการเพิ่มขึ้นของทรัพย์สินทางการเกษตรใกล้เคียงกันประมาณ 1.53 และ 1.45 %ต่อปี ในขณะที่ภาคเหนือ มีอัตราการเพิ่มขึ้นเท่ากับ 0.35% ต่อปีถือเป็นอัตราการเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับเกษตรกรในภาคอื่นๆ

สำหรับการเปลี่ยนแปลงในรายได้การเกษตรสุทธิ พบว่า มีการเปลี่ยนแปลงไม่แตกต่างจากการพิจารณาข้างต้น เกษตรกรทุกภาคมีการเปลี่ยนแปลงรายได้การเกษตรสุทธิในอัตราที่น้อยกว่าการเปลี่ยนแปลงของหนี้สิน โดยเกษตรกรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้การเกษตรสุทธิสูงที่สุด ซึ่งในปี 2538/2539 เกษตรกรในภาคดังกล่าวมีรายได้การเกษตรสุทธิ 11,807 บาทต่อครัวเรือน และปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 30,917 บาทต่อครัวเรือนในปี 2554/2555 คิดเป็นอัตราการเพิ่ม  5.20 % ต่อปี

รองลงมาเป็นเกษตรกรในภาคเหนือ มีอัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้การเกษตรสุทธิประมาณ 4.97 %ต่อปี ทำให้เกษตรกรที่มีรายได้การเกษตรสุทธิ 26,094 บาทต่อครัวเรือนในปี 2538/2539 เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นเป็น 65,610 บาทต่อครัวเรือนในปี 2554/2555 ขณะที่เกษตรกรในภาคกลางและภาคใต้ มีอัตราการเปลี่ยนแปลงของรายได้การเกษตรสุทธิไม่แตกต่างกันมาก คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น  2.64 และ 2.26 % ตามลำดับ

เมื่อพิจารณาถึงความเสี่ยงในการชำระหนี้ของเกษตรกร เนื่องจากอัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้การเกษตรสุทธิน้อยกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของหนี้สิน นอกจากนี้ อาจมีความเป็นไปได้ว่า หนี้สินที่เกิดในครัวเรือนเกษตร เป็นหนี้สินที่เกิดจากนอกภาคเกษตรกรรมเป็นหลัก เนื่องจากอัตราการเปลี่ยนแปลงของทรัพย์สินทางการเกษตรน้อยกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของหนี้สิน โดยเฉพาะในภาคเหนือ ที่มีความแตกต่างระหว่างอัตราการเพิ่มของหนี้สินและทรัพย์สินทางการเกษตรมากถึง 18 เท่า

ทั้งนี้จากการถือครองที่ดินและประกอบอาชีพของสมาชิกในครัวเรือนกล่าวได้ว่า เกษตรกรมีแนวโน้มที่จะมีหนี้สินสะสมเพิ่มมากขึ้นเมื่อระยะเวลาผ่านไป และการมีพื้นที่ถือครองทางการเกษตรเป็นจำนวนมาก ก็ส่งผลทำให้หนี้สินของเกษตรกรเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน โดยความสัมพันธ์สอดคล้องกับสถิติหนี้สินและมูลค่าทรัพย์สินในภาคเกษตรดังกล่าวข้างต้น ที่ว่าหนี้สินและมูลค่าทรัพย์สินในภาคเกษตรมีแนวโน้มเป็นไปในทิศทางเดียวกัน แสดงให้เห็นถึงการลงทุนบางส่วนในทรัพย์สินเพื่อการเกษตร หากเกษตรกรมีพื้นที่ถือครองทางการเกษตรเพิ่มมากขึ้น ก็อาจทำให้มีหนี้สินสะสมเพื่อการลงทุนทางการเกษตรเพิ่มขึ้นเช่นกัน  ในขณะที่ตัวแปรขนาดครัวเรือน มีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงข้ามกับขนาดหนี้สินของครัวเรือน หรือกล่าวว่าได้ว่าการเพิ่มขึ้นของขนาดครัวเรือน ส่งผลทำให้ขนาดหนี้สินของครัวเรือนลดน้อยลง ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า การเพิ่มขึ้นของขนาดครัวเรือนอาจทำให้มีจำนวนแรงงานภายในครอบครัวเพิ่มมากขึ้น จึงส่งผลต่อขนาดหนี้สินของครัวเรือนในภาคเกษตร

ทั้งนี้จากการพยากรณ์อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในหลายสำนัก พบว่า ส่วนใหญ่พยากรณ์ว่า GDP ในปีนี้จะมีการเติบโต  1.5-2.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งถ้าเชื่อมโยงตัวเลขประมาณการณ์ดังกล่าวกับภาระหนี้สินในภาคเกษตรผ่านแบบจำลองทางเศรษฐมิติ พบว่า ปัจจัยด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเดียวจะทำให้ภาระหนี้ภาคเกษตรลดลงเฉลี่ยประมาณ 2,885 บาทต่อครัวเรือนต่อปี หรือช่วยลดภาระหนี้ในภาคเกษตรทั้งระบบประมาณ 16,446 ล้านบาท

นอกจากนี้ การพยากรณ์โดยใช้แบบจำลองปัจจัยการผลิตและผลผลิต (Input-Output Model) จากการที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เร่งรัดให้มีการเบิกจ่ายหนี้โครงการรับจำนำข้าวมูลค่า 92,000 ล้านบาท แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ภายในเดือนมิถุนายน จะช่วยผลักดันให้มีการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น และทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเบื้องต้นหรือ GDP เพิ่มขึ้นถึง 210,120 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการเพิ่มขึ้นใน GDP ภาคเกษตรและนอกภาคเกษตรมูลค่า 15,452 ล้านบาท และ 194,668 ล้านบาทตามลำดับ

เมื่อนำค่าประมาณการเพิ่มขึ้นของ GDP มาวิเคราะห์ร่วมกับแบบจำลองทางเศรษฐมิติ พบว่า การเร่งรัดให้มีการเบิกจ่ายหนี้โครงการรับจำนำข้าวจะสามารถช่วยลดภาระหนี้สินในภาคเกษตรได้เฉลี่ยอีกครัวเรือนละ 1,150 บาทต่อปี หรือสามารถลดภาระหนี้ในภาคเกษตรทั้งระบบอีกประมาณ 6,570 ล้านบาท (ครัวเรือนเกษตร ณ ปีเพาะปลูก 2555/2556 มีจำนวน 5.713 ล้านครัวเรือน)

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของมาตรการรองรับของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ดำเนินการ ดังนี้

1. มาตรการระยะสั้น ในกรณีที่เกษตรได้รับผลกระทบจากการผลิต การตลาด หรือมีปัญหาอื่นๆ แต่ยังมีความสามารถในการผลิต ให้มีการจัดสรรสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือพักชำระหนี้ออกไปอีก 1 ปีโดยที่ไม่คิดเบี้ยปรับ นอกจากนี้ ควรมีการปรับโครงสร้างการจัดสรรดอกเบี้ยแก่เกษตรกร

2. มาตรการระยะยาว ได้แก่ การพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรในการเรียนรู้สำหรับการทำการเกษตรยุคใหม่ โดยกระทรวงฯ ให้การสนับสนุนข้อมูลและองค์ความรู้ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการเกษตรของเกษตรกร และให้การอบรมพัฒนาทักษะด้านการเกษตรและกระบวนการตัดสินใจภายใต้สถานการณ์ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนให้แก่เกษตรกร การสนับสนุนอาชีพเสริมรายได้เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เสริมจากอาชีพหลัก โดยสนับสนุนด้านการอบรมให้ความรู้ผ่านเครือข่ายชุมชนต่าง พร้อมหาช่องทางการตลาด การส่งเสริมให้เกษตรกรมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายโดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง สร้างวินัยทางการเงิน โดยการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ทั้งนี้เพื่อลดการใช้สินค้าฟุ่มเฟือย รวมทั้งกระทรวงฯ ได้ดำเนินมาตรการระยะยาวดังกล่าวภายใต้นโยบาย Smart Famer และ Smart Officer ด้วย