ของกิน-ใช้อ่วมรับกำลังซื้อร่วง

กำลังซื้อรากหญ้าร่วงซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยดิ่งเหว ฉุดสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัวต่ำ

นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูล ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค เปิดเผยว่า สภาพเศรษฐกิจปีนี้คงไม่เลวร้ายไปกว่าวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 แต่ขณะนี้กำลังซื้อกลุ่มรากหญ้าหรือชาวนาได้รับผลกระทบจากโครงการรับจำนำข้าว มาซ้ำเติมกับกำลังซื้อกลุ่มชนชั้นกลางที่ลดลงเมื่อปีที่ผ่านมาจากนโยบายรถคันแรก

สำหรับสภาพตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคปีนี้ คาดว่าจะขยายตัวน้อยกว่าเมื่อปีที่ผ่านมา แต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือปลากระป๋องจะได้รับผลกระทบน้อย เนื่องจากราคาไม่แพง ย้อนไปเมื่อปีที่ผ่านมา ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปโต 4% แต่ปีนี้คาดว่าจะโต 5% จากมูลค่า 1.3 หมื่นล้านบาท

ขณะที่กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า จะได้รับผลกระทบสูง แม้กระทั่งเครื่องสำอาง เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคช็อปปิ้งในศูนย์การค้าน้อยลง ต่างจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ตลาดเครื่องสำอางไม่ได้รับผลกระทบ ซึ่งปีที่ผ่านมาบริษัท ไอ.ซี.ซี. ในเครือสหพัฒน์ ดำเนินธุรกิจสินค้าฟุ่มเฟือย รายได้ไม่เติบโต และปีนี้ ไอ.ซี.ซี.ตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ถึง 5% หรือกว่า 1 หมื่นล้านบาท

นายอลงกรณ์ ชูจิตร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าแอลจี กล่าวว่า จากกำลังซื้อกลุ่มรากหญ้าที่ลดลง ส่งผลกระทบต่อตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้ากลาง-ล่าง มูลค่า 3.2 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 40% ของตลาดปีนี้ติดลบแน่นอน โดยในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าแอลจีในตลาดกลาง-ล่าง ลดลงกว่า 10% เช่น เครื่องซักผ้า 2 ถัง และเดือน ม.ค. ยอดขายไม่เติบโต แต่ยังมั่นใจว่าตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้ากลาง-บน จะไม่ได้รับผลกระทบ เชื่อว่าผู้ประกอบการจะปรับแผนบุกตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้ากลาง-บนมากขึ้น เพื่อสร้างยอดขายให้เติบโต

ทั้งนี้ ภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยรวมมูลค่า 8 หมื่นล้านบาท หากการเมืองยืดเยื้อ กระทบต่ออารมณ์การจับจ่ายใช้สอยผู้บริโภค ตลาดจะโตไม่ถึง 5% จากปีนี้คาดว่าตลาดจะเติบโตได้ถึง 10% ซึ่งต้องลุ้นเครื่องปรับอากาศมูลค่า 2.5 หมื่นล้านบาท โต 20% และทีวีมูลค่า 3.5 หมื่นล้านบาท โต 10% เพราะเป็นสินค้าหลักผลักดันให้ตลาดเติบโต

นายอลงกรณ์ กล่าวว่า ผลประกอบการสิ้นปีนี้ เดิมทีตั้งเป้าเติบโต 15% แต่ในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทต้องปรับเป้าการเติบโตเหลือ 10% หลังจากรายได้ไตรมาสแรกคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตไม่เกิน 10% เท่านั้น