posttoday

หอการค้าไม่เห็นด้วยหยุดงาน-เบี้ยวภาษี

12 พฤศจิกายน 2556

หอการค้าไทย แถลงการณ์ไม่เห็นด้วยกับการนัดหยุดงาน และไม่ชำระภาษีเพราะผิดกฎหมาย เรียกร้องคำนึงผลกระทบประเทศ

หอการค้าไทย แถลงการณ์ไม่เห็นด้วยกับการนัดหยุดงาน และไม่ชำระภาษีเพราะผิดกฎหมาย เรียกร้องคำนึงผลกระทบประเทศ

นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทย ออกแถลงการณ์หอการค้าไทย ระบุว่าเป็นห่วงสถานการณ์ปัจจุบันที่อาจกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ จากการชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งอาจยืดเยื้อและส่งผลกระทบต่อภาพเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว

"ขณะนี้ไทยกำลังเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ซึ่งเป็นตัวผลักดันรายได้เข้าประเทศในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่งจะช่วยทดแทนตัวเลขการส่งออกของไทยที่ชะลอตัวได้ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี การส่งออกขยายตัวเพียง 0.05% และคาดว่าทั้งปีจะขยายตัวเพียง 1% เท่านั้น"

ทั้งนี้ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย แสดงจุดยืนใน 3 ประเด็น คือ 1.ยังคงยึดมั่นต่อการต่อต้านคอร์รัปชั่น และเห็นว่า การรณรงค์คัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชั่น ได้บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว 2.ขอให้ทุกฝ่ายลดการเผชิญหน้าและการท้าทายซึ่งกันและกัน ไม่ใช้ความรุนแรง อันจะนำไปสู่ความเสียหายต่อเศรษฐกิจ และขอให้ทุกฝ่ายยึดผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง พิจารณาการดำเนินการอย่างมีสติ เพื่อให้สันติสุขและความสามัคคีกลับมาสู่ประเทศไทยอย่างเร็วที่สุด

"และ 3. กรณีที่มีการขอความร่วมมือให้หยุดงานในวันที่ 13-15 พ.ย.นี้ เอกชนไม่ขอตอบรับข้อเสนอนี้ และไม่ได้ประกาศให้พนักงานหยุดงานเพื่อไปรวมชุมนุมแต่อย่างใด รวมทั้งไม่ขอตอบรับข้อเสนอให้หยุดชำระภาษี เนื่องจากการไม่ชำระภาษีเป็นการทำผิดกฎหมาย ซึ่งหอการค้าไทยไม่ทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย"

ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า หากมีการชุมนุมต่อเนื่องถึงสิ้นปี โดยไม่รุนแรง จีดีพีเติบโตลดลง 0.2-0.3% หรือปีนี้ขยายตัว 3.3-3.5% แต่หากการชุมนุมรุนแรงและต่อเนื่องถึงสิ้นปีทำให้นักท่องเที่ยวหายไปเดือนละ 2 แสนคน คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 3.5 หมื่นล้านบาท และจีดีพีจะเติบโตเหลือ 3-3.2%

ทั้งนี้ หากการชุมนุมยืดเยื้อต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกปี 57 จะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจประมาณ 1 - 1.5 แสนล้านบาท ทำให้จีดีพีปีหน้าจะโต 4 - 4.5% และหากมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น จีดีพีจะโตเพียง 4% จากเดิมที่คาดว่าจะโตได้ 5%