posttoday

SCG หั่นเป้ายอดขายหลังปัจจัยลบรุมเร้า

30 ตุลาคม 2556

ปูนใหญ่หั่นเป้ายอดขายรวมปีนี้ หลังปัจจัยลบรุมเร้า ทั้งน้ำท่วม ค่าเงินผันผวน ปิดซ่อมโรงงานปิโตรเคมี

ปูนใหญ่หั่นเป้ายอดขายรวมปีนี้ หลังปัจจัยลบรุมเร้า ทั้งน้ำท่วม ค่าเงินผันผวน ปิดซ่อมโรงงานปิโตรเคมี 

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย หรือเอสซีจี เปิดเผยว่า รายได้รวมในปีนี้ที่ตั้งเป้าไว้ 4.37 แสนล้านบาท คงไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นภาวะน้ำท่วมในประเทศ กระทบตลาดในภาคตะวันออกและภาคอีสาน ปัจจัยจากค่าเงินบาทไทย และค่าเงินในภูมิภาคที่ค่อนข้างผันผวน รวมทั้งการปิดโรงงานปิโตรเคมีคอลที่ต้องปิดปรับปรุงนานถึง  45 วัน  ที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง แต่มั่นใจว่ายอดขายทั้งปีจะไม่ต่ำกว่า  4.3 แสนล้านบาทอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่ากําไรจะยังเติบโตได้ดี เนื่องจากบริษัทมีการลดต้นทุนในหลายรายการ ทําให้มีอัตรากําไรที่ดีขึ้นโดยประเมินว่าในปีหน้ารายได้จากการขายจะเติบโตดีกว่าปีนี้ เนื่องจากจะมีโครงการก่อสร้างทั้งภาครัฐและเอกชนเป็นจํานวนมาก โดยในปีหน้าบริษัทจะมีกําลังการผลิตปูนซีเมนต์กว่า 28 ล้านตันจากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 25 ล้านตัน ขณะที่ธุรกิจกระดาษเริ่มดีขึ้น รวมถึงธุรกิจปิโตรเคมี ที่มีแนวโน้มการฟื้นตัวชัดเจน

ทั้งนี้คาดว่าปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์ในปีนี้ ทั้งปีจะเติบโตประมาณ 5-7% จากปีก่อน จากเดิมคาดว่าจะเติบโต 7% โดยในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ได้รับปัจจัยกดดันจากประเด็นน้ำท่วมทําให้ภาคการก่อสร้างต่างๆชะลอตัวลง ซึ่งในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดปูนซีเมนต์หดตัวลงไป 3%  โดยคาดว่าในปีหน้าปริมาณความต้องการการใช้ปูนซีเมนต์เติบโตอย่างน้อย 4-5%  จากปีนี้ โดยยังไม่รวมกับโครงการโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล 2 ล้านล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าหากโครงการดังกล่าวเริ่มดําเนินการอย่างชัดเจนแล้ว จะทําให้ปริมาณความต้องการใช้ปูนซีเมนต์มากกว่าเป้าหมายเป็นจํานวนมาก

นายกานต์ กล่าวว่า บริษัทฯยังคงตั้งงบลงทุน 5 ปี ตั้งแต่ปี 2557-2561 ไว้ที่ 2.1-2.5 แสนล้านบาท โดยจะใช้ปีละประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเน้นโครงการลงทุนใน อาทิ โรงงานผลิตปูนซีเมนต์ในอินโดนีเซีย พม่า และกัมพูชา และโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม รวมไปถึง การเข้าซื้อหรือควบรวมกิจการด้วย

ขณะที่ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเจรจาควบรวมกิจการ 4-5 ราย โดยจะเน้นในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งมีศึกษาธุรกิจกระดาษในประเทศอินโดนีเซียอยู่  ธุรกิจวัสดุก่อสร้างในประเทศเวียดนามด้วย  โดยยังไม่ได้ข้อสรุปเรื่องระยะเวลา และเงินลงทุน ทั้งนี้ในส่วนของเงินลงทุนจะอยู่ในงบประมาณ 5 ปีที่ตั้งไว้ประมาณ 2.1-2.5 แสนล้านบาท

สำหรับผลประกอบการในไตรมาสที่สามปีนี้ บริษัทมีรายได้จากการขาย 1.13 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากไตรมาสก่อน มีกำไรสำหรับงวด 9,793 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 53 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณการขายของธุรกิจเคมีภัณฑ์ ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ปริมาณความต้องการปูนซีเมนต์ในประเทศเพิ่มสูงขึ้น และมีกำไรจากรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ 1,701 ล้านบาท จากการปรับมูลค่าเงินลงทุนในบริษัทสยามซานิทารีแวร์  และบริษัทสยามซานิทารีฟิตติ้งส์  และจากการขายหุ้น บริษัทโตโต้ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) ให้กับ TOTO Group ประเทศญี่ปุ่น

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556  มีรายได้จากการขาย 3.29 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสำหรับงวด 28,513 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 71 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับธุรกิจของบริษัทฯ ในอาเซียน นอกเหนือจากประเทศไทย ใน 9 เดือนแรกของปี 2556 มีรายได้จากการขาย 2.8หมื่นล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9 ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 จากช่วงเดียวกัน ของปีก่อน ปัจจุบัน เอสซีจีมีสินทรัพย์รวมในอาเซียน มูลค่า 6.3 หมื่นล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 15 ของสินทรัพย์รวมของบริษัท

นายกานต์ กล่าวว่า ปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่นักธุรกิจกังวล ไม่อยากให้รุนแรงเกิดขึ้น โดยต้องการให้เมืองไทยสงบนิ่ง ผลกระทบเศรษฐกิจในประเทศ เศรษฐกิจโลก บริษัท สามารถรับกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตามแม้จะเกิดปัญหาความรุนแรงทางการเมืองเมื่อปี 2553 ยอดขายของบริษัทฯก็ไม่ได้ลดลงจากปัญหาดังกล่าว  โดยเชื่อว่าการเติบโต เศรษฐกิจของไทยและอาเซียนจะมีความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว