"ดิจิทเบรน"ซอฟต์แวร์แนะแนวพัฒนาชีวิต

โดย...พรหมเมศร์ ศิริสุขวัฒนานนท์

ปัจจุบันโลกของซอฟต์แวร์กว้างมากขึ้นเรื่อยๆ การจะบอกว่าซอฟต์แวร์คือเรื่องของไอทีคงไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องที่สุดอีกต่อไป ก่อนหน้านี้จะเห็นซอฟต์แวร์เข้าไปช่วยในทุกอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอย่างมีนัยสำคัญในทุกๆ ด้าน ซึ่งกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่ตอนนี้ถ้าจะบอกว่าซอฟต์แวร์เข้ามาเกี่ยวข้องกับการวางแผนแนะแนวทางชีวิตตั้งแต่เกิดจนโต หลายคนอาจจะขึ้นถึงพวกแอพพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ออร์แกไนเซอร์ ระบบเตือนกันลืม แต่ครั้งนี้ไม่ใช่แค่นั้นแล้ว

ตอนนี้ซอฟต์แวร์สามารถวิเคราะห์ลึกไปถึงสมองได้และตีความโดยใช้หลักคิดทางจิตวิทยา สถิติ ซึ่งเป็นเรื่องของวิชาการและวิทยาศาสตร์ เพื่อบอกว่าบุคคลนี้มีพื้นฐานการเรียนรู้ก่อนกำเนิดเป็นอย่างไร โดยอาศัยการสแกนลายนิ้วมือในชั้นทุติยภูมิทั้ง 10 นิ้ว นี่คือสิ่งที่บ่งบอกความเป็นตัวบุคคลนั้น (Identity) ซึ่งงานวิจัยทางวิชาการระบุว่า ลายนิ้วมือทั้ง 10 พัฒนาขึ้นพร้อมๆ กับสมองของคน ในช่วงประมาณสัปดาห์ที่ 13 ระหว่างอยู่ในครรภ์มารดา เรื่องนี้มีการรับรองอย่างเป็นทางการชัดเจน

ฉัตรชัย เลิศวิริยะภากร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิจิท เบรน ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ ดิจิทเบรน บอกว่า พื้นฐานการเรียนรู้ของคนมี 2 ส่วน คือ พื้นฐานที่ติดมากับพันธุกรรมและพื้นฐานการเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อม ซึ่งส่วนของสิ่งแวดล้อมนั้นเริ่มต้นตั้งแต่ในครรภ์มารดา จนกระทั่งออกมาเป็นคนผ่านการเรียนรู้ทุกรูปแบบจนเติบโตขึ้น ซึ่งหากสามารถส่งเสริมการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับพื้นฐานที่ติดมากับพันธุกรรมซึ่งมีมาแต่กำเนิดได้ น่าจะส่งผลดีที่สุด ดังนั้นก็ต้องย้อนกลับมาดูว่า จะสามารถรู้ได้อย่างไรว่าพื้นฐานที่ติดมากับพันธุกรรมนั้นจะรู้ได้อย่างไร

ซอฟต์แวร์ ดิจิท เบรน ได้ใช้การสแกนลายนิ้วมือ เชื่อมโยงกับสมองแล้ววิเคราะห์ออกมาเป็นผลเพื่อให้พ่อแม่ได้เรียนรู้พื้นฐานที่มีมาแต่กำเนิดของลูก เรียกว่าเป็นไกด์ไลน์แนะแนวทางการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด ซึ่งจากการทดสอบซอฟต์แวร์นี้กับเด็กจำนวนมากกว่า 3,000 คน พบว่ามีอัตราความแม่นยำที่ประมาณ 80-90%

“ซอฟต์แวร์นี้มีการใช้งานในต่างประเทศประมาณ 5-6 ราย ดิจิท เบรน หลายคนอาจเคยได้ยินว่า บริษัท ซีพี ใช้ซอฟต์แวร์ตรวจสอบบุคคลก่อนพิจารณารับเข้าทำงาน แต่นั่นคือซอฟต์แวร์จากต่างประเทศ ดิจิท เบรน เป็นซอฟต์แวร์ในลักษณะเดียวกัน แต่นี่พัฒนาขึ้นโดยคนไทย”ฉัตรชัย กล่าว

ผลการวิเคราะห์ที่ ดิจิท เบรน ได้รับ สามารถวิเคราะห์คร่าวๆ ได้ว่า คนเรามีการเรียนรู้หลัก 3 วิธี คือ การดูมองเห็น การฟังได้ยิน และการสัมผัสปฏิบัติ หากรู้ว่าคนคนหนึ่งถนัดการเรียนรู้ด้านใดเป็นพิเศษ และเสริมด้านการเรียนรู้ด้านนั้นมากๆ จะช่วยให้มีพัฒนาการที่ดีขึ้น เช่น หากถนัดการเรียนรู้ผ่านสัมผัสปฏิบัติ แปลว่า เป็นคนที่ชอบการลงมือ การทดลองมากกว่าจะให้นั่งเรียนเฉยๆ เรียกว่าชอบทำกิจกรรมเป็นพิเศษ ขณะที่ถ้าเรียนรู้ผ่านการดูมองเห็น จะเป็นพวกชอบอ่านหนังสือ ชอบสังเกต ส่วนการฟังได้ยิน จะมีทักษะในการรับฟัง การพูดสื่อสารได้ดี แต่ทั้งหมดก็ต้องเชื่อมโยงกับความสามารถด้านความเร็วในการเรียนรู้อีกด้วย

นอกจากนี้ ยังมีการวิเคราะห์รูปแบบลักษณะนิสัยแต่กำเนิดด้วยว่าเป็นแบบใด ซึ่งมี 4 ลักษณะ คือแบบลูกคิด คือเน้นเรียนรู้หาวิธีการด้วยตนเอง มีความมั่นใจในตัวเองสูง แบบเลียนแบบ คือเรียนรู้เป็นขั้นตอนผ่านตัวอย่างได้ดี เข้าสังคมได้ง่าย แบบคิดกลับ คือเป็นพวกคิดนอกกรอบ คิดแตกต่าง อาจจะคิดบวกหรือคิดลบก็ได้ และสุดท้ายคือ แบบเปิด คือเป็นพวกเปิดรับพร้อมซึมซับจากสิ่งแวดล้อมได้ดี สุดท้ายทั้งหมดยังสอดคล้องกับรูปแบบการเรียนรู้ซึ่งเป็นจุดอ่อนจุดแข็งอีก 10 ประการ ซึ่งนั่นคือการวิเคราะห์ในเชิงลึกขึ้นเรื่อยๆ

ดังนั้น จะเห็นได้ชัดเจนว่า ซอฟต์แวร์ ดิจิท เบรน คือเครื่องมือแนะแนวการพัฒนาชีวิต ที่อาศัยการวิเคราะห์ตามหลักวิชาการมาประเมินศักยภาพพื้นฐานที่มีมาแต่กำเนิดของคน นำไปสู่ความเป็นคนที่มีสมดุลยภาพที่ดี

ฉัตรชัย กล่าวต่อไปว่า ในเชิงธุรกิจแล้ว เป้าหมายคือกลุ่มพ่อแม่ ที่ต้องการรู้ว่าพื้นฐานการเรียนรู้ที่มีมาแต่กำเนิดของลูก ที่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยความจริงเชิงประจักษ์ โดยมีแผนขยายเป็นธุรกิจแฟรนไชน์ ตั้งเป้าไว้ที่ 20 สาขาในปีนี้ โดยเปิดแห่งแรก ที่ จ.ราชบุรี และก่อนหน้านี้ได้เดินทางไปเจรจากับพันธมิตรในประเทศลาวมาแล้ว ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างดี

หากมีการใช้งานระบบซอฟต์แวร์ลักษณะนี้อย่างแพร่หลาย การจัดการเรียนการสอนในประเทศไทยน่าจะพัฒนาไปในทิศทางที่สอดคล้องกับพื้นฐานการเรียนรู้ของเด็กมากขึ้น ดังนั้นอย่าด่วนตัดสินว่าเด็กที่ไม่ชอบนั่งเรียนจะต้องเป็นเด็กเกเร แต่อาจเพราะเสนอแนวทางการเรียนรู้ขัดกับนิสัยแต่กำเนิดที่ติดตัวมาก็เป็นได้