posttoday

ฮึดปั้นยอดเลโก้ไทยหลังมาเลย์แซงที่1

14 มีนาคม 2556

ดีเคเอสเอชลุยทำตลาดเลโก้ หลังถูกมาเลเซียเบียดขึ้นที่ 1 อาเซียน ปูพรมห้างภูธร ดันยอดโต 20% ขายต่างจังหวัดเพิ่มตามห้างเปิดใหม่ คาดสิ้นปีโกยยอดขายโต 20%

ดีเคเอสเอชลุยทำตลาดเลโก้ หลังถูกมาเลเซียเบียดขึ้นที่ 1 อาเซียน ปูพรมห้างภูธร ดันยอดโต 20% ขายต่างจังหวัดเพิ่มตามห้างเปิดใหม่ คาดสิ้นปีโกยยอดขายโต 20%

นายชูเกียรติ โตกมลธรรม ผู้อำนวยการธุรกิจอาวุโส บริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของเล่นเด็กตัวต่อทักษะแบรนด์เลโก้ เปิดเผยว่า หลังจากประเทศมาเลเซียได้รับสิทธิให้เปิดเลโก้แลนด์ ส่งผลให้ยอดขายเลโก้เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก จนปัจจุบันมียอดขายแซงประเทศไทยและเป็นที่ 1 ของกลุ่มประเทศอาเซียนที่มียอดขายเลโก้มากที่สุด

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจเลโก้ ในปีนี้บริษัทจะเดินหน้าทำกิจกรรมทางการตลาดทั้งสินค้าเก่าและสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการรับรู้ในสินค้าแต่ละชนิด โดยเฉพาะกลุ่มของเล่นสำหรับเด็กก่อนวัยเรียน ที่จะรุกตลาดมากขึ้นในปีนี้ เนื่องจากยังมีช่องว่างให้เข้าไปทำตลาดอีกมาก ตั้งเป้าสิ้นปีเพิ่มสัดส่วนยอดขายเด็กก่อนวัยเรียนเป็น 20% จากปัจจุบันอยู่ที่ 15%

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนขยายธุรกิจเลโก้เข้าไปในตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น เน้นวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าที่ขยายสาขาไปต่างจังหวัดมากขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนยอดขายมาจากต่างจังหวัดอยู่ที่ 30% กรุงเทพฯ 70% คาดว่าสิ้นปีต่างจังหวัดจะเพิ่มเป็น 35% กรุงเทพฯ 65%

“หลังจากที่เลโก้เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยกว่า 10 ปี พบว่ามียอดขายเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องทุกปี และปีนี้ก็คาดว่าจะเติบโตดีเช่นกัน แต่ก็ต้องรอผลปัจจัยลบในด้านของภาพรวมเศรษฐกิจว่ายังคงปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องหรือไม่ ควบคู่ไปกับกำลังซื้อของผู้ปกครองหลังโครงการรถคันแรกว่าจะยังมีกำลังซื้อที่ดีเหลือซื้อของเล่นให้บุตรหลานหรือไม่” นายชูเกียรติ กล่าว

ทั้งนี้ ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัว “เลโก้ ชิม่า หรือเลโก้ เลเจ้นด์ ออฟ ชิม่า” ชุดตัวต่อคอลเลกชันล่าสุด เพื่อให้ผู้เล่นฝึกเรื่องการใช้จินตนาการและรู้จักแบ่งปัน เพราะต้องเล่นเป็นกลุ่ม โดยเตรียมงบทำตลาด 45 ล้านบาท รวมทั้งเตรียมงบอีก 20 ล้านบาท สำหรับทำตลาดแบรนด์เลโก้ คาดว่าสิ้นปีคาดว่าจะมียอดขายเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% และรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่ง 20% จากตลาดรวมของเล่นระดับพรีเมียมมูลค่า 2,000 ล้านบาทที่คาดว่าจะเติบโตกว่า 10% บริษัทมีส่วนแบ่ง 20%