posttoday

เมเจอร์ผนึก2ประเทศลุยอาเซียน

08 ตุลาคม 2555

เมเจอร์ฯลุยอาเซียนผนึกพันธมิตร2ประเทศเพื่อนบ้านผุดมัลติเพล็กซ์ครบวงจรพร้อมเปิดปี57

เมเจอร์ฯลุยอาเซียนผนึกพันธมิตร2ประเทศเพื่อนบ้านผุดมัลติเพล็กซ์ครบวงจรพร้อมเปิดปี57

เมเจอร์ผนึก2ประเทศลุยอาเซียน

นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ผู้ดำเนินธุรกิจโรงภาพยนตร์ครบวงจรเปิดเผยว่าขณะนี้บริษัทมีความพร้อมในการขยายธุรกิจโรงภาพยนตร์ไปยังประเทศเพื่อนบ้านในแถบภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเข้าไปเจรจาแล้วใน2ประเทศโดยการหาพันธมิตรท้องถิ่น(โลคัล พาร์ทเนอร์)เพื่อเข้าไปร่วมลงทุน(เจวีซี) คาดพร้อมเปิดเผยรายละเอียดและแผนลงทุนในต้นเดือนพ.ย.ปีนี้

ทั้งนี้ บริษัทจะเข้าไปลงทุนในส่วนของโรงภาพยนตร์แบรนด์เมเจอร์ที่อยู่ภายในศูนย์การค้าแบบครบวงจร(มัลติเพล็กซ) ที่พันธมิตรแต่ละประเทศเป็นผู้ลงทุน ซึ่งจะมีไม่ต่ำกว่า10โรงภาพยนตร์ต่อแห่งใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทในแต่ละประเทศ หรือเฉลี่ย 15 ล้านบาทต่อ1โรงภาพยนตร์ ซึ่งบริษัทเห็นโอกาสจากการขยายตลาดโรงภาพยนตร์ในภูมิภาคนี้ที่เตรียมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี)ในปี2558

สำหรับการเข้าไปลงทุนครั้งนี้ บริษัทต้องการขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ๆในอาเซียนที่ยังมีช่องว่างอยู่ จากปัจจุบันตลาดรวมประเทศไทยมีราว 700-800โรงภาพยนตร์ ซึ่งมากสุดในอาเซียน และมีศักยภาพใกล้เคียงกับประเทศสิงคโปร์ ที่มีรายได้จากการจำหน่ายตั๋วหนังซึ่งมีราคาสูงกว่าไทยเกือบ2เท่าตัวครึ่งแม้จะมีเพียง200โรงภาพยนตร์ทั้งตลาด ส่วนตลาดในเอเชีย มีจีน ,เกาหลี และญี่ปุ่น สัดส่วนใกล้เคียงกันกว่า2,000โรงภาพยนตร์

“การเข้าไปทำตลาดในประเทศเพื่อนบ้านครั้งนี้ ยังเป็นการนำภาพยนตร์ไทยไปด้วย ซึ่งเพื่อนบ้านชอบดูหนังไทยมาก ส่วนธุรกิจในอินเดียปีนี้เตรียมงบไม่ต่ำกว่า 80 ล้านบาท เพื่อเพิ่มเลนโบว์ลิงเป็น 200เลนในปีหน้า จากปัจจุบันมี76เลนและมี 175โรงภาพยนตร์ คาดในสิ้นปีหน้าเพิ่มเป็น300โรงภาพยนตร์” นายวิชา กล่าว

ขณะที่แผนธุรกิจในไทย บริษัทคาดว่าจะยังมีโอกาสขยายธุรกิจโรงภาพยนตร์ไปยังจังหวัดต่างๆทั่วประเทศได้ตามความต้องการของผู้บริโภค จากปัจจุบันเมเจอร์เปิดให้บริการโรงภาพยนตร์ครอบคลุม 23 จังหวัดโดยในสิ้นปีนี้คาดขยายเพิ่ม500 โรงภาพยนตร์จากปัจจุบันอยู่ที่ 406 โรงภาพยนตร์  และคาดว่าภายใน5ปี(2556-2560) จะมีโอกาสเปิดให้บริการโรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ได้ราว 800 แห่ง

สำหรับไตรมาส4ปีนี้ บริษัทคาดว่าภาพรวมธุรกิจโรงภาพยนตร์จะกลับมาคึกคักเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ชะลอตัวจากน้ำท่วมใหญ่ ที่บริษัทปิดให้บริการ120โรงภาพยนตร์ ซึ่งในช่วง3เดือนสุดท้ายปีนี้จะมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์หลายเรื่องใหม่เตรียมเข้ามาฉาย อาทิ เจมส์ บอนด์ แวมไพร์ ทไวไลท์ และภาพยนตร์ไทยในเครือ จีทีเอช และสาระแน เป็นต้น จากในช่วงที่ผ่านมาภาพยนตร์เรื่องเอเวนเจอร์ทำรายได้สูงสุด250 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่มีแผนปรับราคาตั๋วภาพยนยตร์ในเครือขึ้นแต่อย่างใด แม้จะมีผลกระทบจากต้นทุนในภาพรวมปรับเพิ่มขึ้นก็ตาม อาทิ ค่าแรงขั้นต่ำ แต่อาจจะพิจารณาปรับราคาขึ้นตามทำเลของโรงภาพยนตร์ หรือตามอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ3-5% ส่วนผลประกอบการในปีนี้ บริษัทคาดมีอัตราการเติบโตรายได้ราว10% เทียบกับปีก่อนมีอัตราเติบโต20% หรือมีรายได้ประมาณ 6,000 ล้านบาท