อินทัชตั้งบริษัทลูกลุยดิจิตอล

อินทัชตั้งบริษัทลูกเท 2,000 ล้านบาท ประมูลไลเซ่นส์ 3 ช่อง ดิจิตอล ปักธงธุรกิจมีเดียเต็มรูปแบบ

นายสมประสงค์ บุญยะชัย ประธานกรรมการบริหาร  กลุ่มอินทัช เปิดเผยว่า  ได้ตั้งบริษัทลูกเพื่อเตรียมเข้าประมูลใบอนุญาตการให้บริการ หรือ (ไลเซ่นส์)  การให้บริการช่องรายการในระบบดิจิตอล จำนวน 3 ช่อง  คือ 2 ช่องรายการทั่วไป (สแตนดาร์ด เดฟิเนชั่น) และ 1 ช่องรายการคมชัดสูง (ไฮเดฟิเนชั่น) และได้เตรียมงบประมาณพาะค่าไลเซ่นส์ไว้ 2,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ ประเภทรายการที่จะให้บริการสำหรับช่องรายการทั่วไป คือ  รายการบันเทิง และ รายการเด็ก ส่วนประเภทเนื้อหาสำหรับช่องรายการไฮเดฟอยู่ระหว่างรอคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ หรือ กสท. กำหนด รายละเอียดอีกครั้ง

นอกจากช่องรายการแล้ว อินทัชยังมีคว่ามพร้อมที่จะเป็นผู้ให้บริการรวบรวมช่องรายการ (มัลติเพลกเซอร์) ที่กสท. จะเปิดให้ไลเซ่นส์ช่วงเดือน ธ.ค.นี้ โดยอาศัยความพร้อมด้านโครงข่ายและเสาของ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ เอไอเอส ที่ปัจจุบันมีอยู่กว่า 1.2 หมื่นแห่งทั่วประเทศ

นายสมประสงค์ กล่าวว่า การขยายเข้าสู่ธุรกิจมีเดียของอินทัชเพื่อให้อินทัชเป็นผู้ให้บริการเต็มรูปแบบทั้งในธุรกิจโทรคมนาคมและมีเดีย ที่จะช่วยต่อยอดซึ่งกันและกัน ซึ่งนอกจากการลงทุนเองแล้ว  ยังมีโครงการร่วมลงทุนในรูปแบบ คอร์ปอเรท เวนเจอร์ แคปปิตอล เพื่อสนับสนุนด้านเงินทุนให้กับผู้ประกอบการด้านคอนเทนต์ที่มีความสามารถใน 4 ประเภท คือ มีเดีย ดิจิตอล คอนเทนต์ ไอทีและ โทรคมนาคม

สำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการนี้เป็นรายแรก คือ อุ๊คบี ผู้ให้บริการสิ่งพิมพ์ดิจิตอล มูลค่า 57.5 ล้านบาท  โดยอินทัชเข้าถือหุ้น 25%

ด้านนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไทยคม กล่าวว่า ไทยคมได้ดำเนินการลากดาวเทียมของประเทศยุโรปมาไว้ที่วงโคจร 50.5 องศาตะวันออกเรียบร้อยแล้ว  ซึ่งทำให้ไทยยังคงมีสิทธิ์ในวงโคจรดังกล่าวต่อไปตามที่สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือ ไอทียู กำหนด แต่การจะยิงดาวเทียมไทยคม 9 เพื่อให้บริการเต็มรูปแบบหรือไม่นั้น  อยู่ระหว่างการประสานงานคลื่นความถี่กั บอีก 5 ประเทศ เช่น  รัสเซีย ตุรกี  จีน เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การรักษาวงโคจร 120 องศาตะวันออก ที่ไทยคมดำเนินการสำเร็จไปก่อนหน้านี้ พร้อมยิงไทยคม 6 ขึ้นสู่วงโคจรกลางปี 2556 ซึ่งจะเป็นดาวเทียมดวงสุดท้ายภายใต้สัมปทานกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที