วอลโว่ เอส80 ที4 หรู-แรง ระดับผู้บริหาร

สัปดาห์นี้ขอพาผู้อ่านทุกท่านไปสัมผัสความหรูหราของ “วอลโว่ เอส80 ที4” รถยนต์ซีดาน 4 ประตู ในระดับพรีเมียมเซ็กเมนต์ ที่เพิ่งเปิดตัวไปหมาดๆ เมื่อไม่นานมานี้ ที่เปิดตัวมาเพื่อจับกลุ่มลูกค้าในระดับผู้บริหารที่ชื่นชอบในสมรรถนะของรถยนต์ ซึ่งในความหรูหราก็แอบแฝงความแรงดุดันและความปลอดภัยไว้ภายใน

เริ่มทำความรู้จักกับเจ้ารถสายพันธุ์สแกน ดิเนเวียน ด้วยการเดินสำรวจหน้าตารูปลักษณ์ ซึ่งที่มีเอกลักษณ์สไตล์วอลโว่แบบเรียบหรู ซึ่งแทบไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก แต่การออกแบบเส้นสายที่โค้งมนสง่างามและโอ่อ่า พร้อมตำแหน่งไฟหน้าแบบไบซีนอนแบบแอ็กทีฟเบนดิง ปรับองศาการส่องสว่างตามความโค้งของถนนขณะหมุนพวงมาลัย ที่วางอยู่ในระดับต่ำและโค้งตามเส้นสายด้านข้างตัวรถไปจนถึงไฟท้าย ให้ความรู้สึกเหมือนรถกำลังพุ่งทะยานไปข้างหน้าแม้รถหยุดนิ่ง

นอกจากนี้ กระจังหน้าขนาดใหญ่ที่ออกแบบด้วยเส้นสายแนวตั้ง รับด้วยเส้นโค้งกระโปรงหน้าซึ่งเป็นเอกลักษณ์ รับกับคิ้วโครเมียมรอบคันที่ช่องดักลมกันชนหน้า กรอบไฟตัดหมอก จนถึงคิ้วไฟท้าย พร้อมกันนี้ยังมาพร้อมด้วยล้ออะลูมิเนียม 18 นิ้วลายใหม่ ด้วยซีรีส์ยางขนาด 245/40/R18Y ดูหรูหราสง่างาม

 

ไม่เท่านั้น ภายในห้องโดยสารยังเน้นความเรียบหรูด้วยแนวคิดในการออกแบบห้องโดยสารให้มีเส้นโค้งคู่ขนาดเพื่อสร้างอาณา เขตที่ชัดเจน รวมถึงการออกแบบแผงหน้าปัดต่างๆ และการวางตำแหน่งควบคุมอุปกรณ์สะดวกสบายต่อการใช้งานบนคอนโซลแบบลอยตัวบางเฉียบ พร้อมพวงมาลัยและหัวเกียร์หุ้มหนังพร้อมเบาะนั่งและแผงประตูบุหนังแท้ โทนสีทราย พื้นพรมสีเบจ ตกแต่งด้วยลายไม้ ให้ความรู้สึกอบอุ่น หรูหราทันสมัย

พร้อมความสะดวกสบายด้วยระบบ “Volvo Sensus” ควบคุมการทำงานระบบต่างๆ ด้านฟังก์ชันการควบคุมรถยนต์ รวมถึงระบบความปลอดภัยด้วยปุ่ม “My Car” แสดงผลผ่านหน้าจอขนาด 7 นิ้ว บนคอนโซลกลางระดับสายตา ซึ่งรวมถึงสามารถควบคุมระบบมัลติมีเดียความบันเทิงในทุกๆ ช่องทาง และแน่นอนว่าเครื่อง Gadget ตระกูล “ไอ” ทั้งหลาย วอลโว่คันนี้รองรับหมด โทรศัพท์ บลูทูธ ก็สามารถควบคุมได้บนพวงมาลัยระบบมัลติฟังก์ชันด้วยปลายนิ้ว

ห้องโดยสารด้านหลังมีปุ่มควบคุมเครื่องเสียงให้เลือกเพลงและปรับระดับเสียงได้ด้วยตัวเอง พร้อมช่องเสียบหูฟังบริเวณหลังคอนโซล กลางอีกด้วย เน้นผู้บริหารเห็นๆ

ก่อนออกเดินทางปรับเบาะที่นั่งให้เข้าที่ด้วยระบบไฟฟ้า ซึ่งเบาะคู่หน้าเป็นระบบปรับไฟฟ้า ซึ่งทัศนวิสัยและความรู้สึกในตำแหน่งที่นั่งฝั่งคนขับ ให้ความรู้สึกเครียร์และมั่นใจในการขับขี่ดี เนื่องจากระบบความปลอดภัยต่างๆ ที่วอลโว่ให้มาในตัวนี้จัดเต็ม ขนาดที่ว่าอาจจะต้องเขียนบรรยายได้ไม่หมดในพื้นที่นี้เลยทีเดียว แต่ขอนำเสนอจุดเด่นๆ ของตัวนี้ให้ได้สัมผัสแล้วกัน

 

เริ่มสตาร์ตเครื่องด้วยกุญแจอัจฉริยะพร้อมระบบ Push Start พร้อมขับเคลื่อนด้วย เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ ไดเรกต์อินเจกชัน ให้กำลังสูงสุด 203 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร ที่ 1,750-4,000 รอบต่อนาที ซึ่งวอลโว่เคลมไว้ว่า สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ภายใน 8.5 วินาที ให้ความเร็วสูงสุด 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

แถมทำงานร่วมกับระบบเกียร์เพาเวอร์ชิฟต์ อัตโนมัติแบบ 6 สปีดของวอลโว่ ด้วยการปรับเปลี่ยนเกียร์ตามสไตล์การขับขี่ ส่งกำลังได้ลื่นไหลพร้อมการเปลี่ยนเกียร์ต่อเนื่องไม่มีสะดุดได้อย่างราบรื่นในทุกรอบเครื่องยนต์ ซึ่งวอลโว่เคลมไว้ว่า ประหยัดน้ำมันสูงสุดโดยมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ 12.05 กิโลเมตรต่อลิตร

ซึ่งต้องบอกเลยว่า เครื่องยนต์ตัวนี้ให้ความรู้สึกและอัตราตอบสนองที่ดีในทุกย่านความเร็ว ถึงแม้ขนาดและน้ำหนักรถจะดูเหมือนใหญ่และหนักแต่กลับไม่รู้สึกเช่นนั้นแม้แต่น้อยเลย ซึ่งตรงกันข้ามกลับรู้สึกคล่องตัวและสนุกในการขับขี่ และไว้ใจได้แม้ช่วงจังหวะเร่งแซง

มั่นใจยิ่งขึ้นด้วยพวงมาลัยแบบ Speed Sensitive ปรับเปลี่ยนความหนักเบาของพวงมาลัยตามระดับความเร็วรถ ให้การบังคับควบคุมพวงมาลัยเป็นไปได้อย่างแม่นยำ ทั้งยังสามารถเลือกปรับน้ำหนักของพวงมาลัยได้ถึง 3 ระดับ โดยน้ำหนักพวงมาลัยระดับต่ำสำหรับการขับขี่ในช่วงการจราจรหนาแน่นและใช้ความเร็วต่ำ ระดับกลางสำหรับการขับขี่ปกติ และระดับสูงสำหรับการขับขี่ด้วยความเร็ว ซึ่งจะให้ความมั่นใจและปลอดภัยในการขับขี่มากยิ่งขึ้น

ซึ่งสอดคล้องกับระบบช่วงล่างที่ไว้ใจได้ หายห่วงในทุกช่วงความเร็วและการเข้าโค้ง ... แต่กลับต้องตกใจกับเสียงเตือนดังสนั่นห้องโดยสารของเจ้าระบบแจ้งเตือนให้รักษาระยะห่างจากรถคันหน้าในทุกระดับความเร็ว ซึ่งระบบแจ้งเตือนเพื่อหลีกเลี่ยงการชนอัตโนมัติ ซึ่งจะแจ้งเตือนโดยสัญญาณเสียงกับไฟกะพริบที่กระจกหน้า พร้อมเสียง ตื๊ด ตื๊ดๆ ... แต่หากผู้ขับขี่ยังไม่เหยียบเบรก รถจะหยุดเองทันทีหากคำนวณแล้วว่าเข้าใกล้รถคันหน้ามากเกินกว่าที่ผู้ขับขี่จะหยุดได้ทัน

 

นอกจากความปลอดภัยของรถและผู้โดยสารแล้ว ยังมีระบบตรวจจับคนเดินถนนพร้อมระบบเบรกแบบเต็มแรง หากตรวจพบและยืนยันว่ามีมนุษย์อยู่ในรัศมี แต่ระบบนี้จะทำงานที่ความเร็วต่ำกว่า 35 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เหมาะกับการขับในเมืองอย่างมาก

ยังไม่หมด เมื่อออกนอกเมืองหากผู้ขับขี่เพลินจนรถเริ่มเบนหัวออกนอกเลนที่ขับขี่ รวมถึงการเปลี่ยนเลนโดยไม่ให้สัญญาณไฟเลี้ยว ระบบแจ้งเตือนเมื่อขับขี่ออกนอกช่องทางเดินรถจะแจ้งเตือน รวมถึงระบบกล้องสัญญาณเตือนเมื่อมียานพาหนะในมุมอับสายตา (Blind Spot) ซึ่งสังเกตได้จากไฟสีส้มที่กระจกมองข้าง ... ซึ่งก็มีทางเลือกให้สำหรับคนที่ขี้รำคาญเสียงเตือนต่างๆ ในการปิดระบบบางอย่างได้

ต้องบอกเลยว่า ระบบความปลอดภัยรวมถึงเทคโนโลยีไม่ได้มีเพียงเท่านี้ รอให้ท่านไปสัมผัสด้วยตัวเองที่โชว์รูมวอลโว่ใกล้บ้านท่าน ซึ่งราคาค่าตัวของ “วอลโว่ เอส80 ที4” ก็ถือได้ว่าไม่แพงเกินเอื้อมสำหรับท่านผู้บริหารทั้งหลาย

แค่เพียง 2.84 ล้าน เท่านั้นเอง... หุหุ