posttoday

ครม.เห็นชอบแผนฟื้นฟูประเทศ

07 สิงหาคม 2555

มติ ครม.เห็นชอบผลประชุม กยอ.ฟื้นฟูประเทศ 4 นโยบายเร่งด่วนตามข้อเสนอสภาพัฒน์

มติ ครม.เห็นชอบผลประชุม กยอ.ฟื้นฟูประเทศ 4 นโยบายเร่งด่วนตามข้อเสนอสภาพัฒน์

นายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ(กยอ.) กรณีเร่งด่วน 4 ประเด็น ตามข้อเสนอของประธาน กยอ.ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) เสนอ

ประกอบด้วย 1.กำหนดนโยบายการลงทุนในระยะ 5-10 ปี โดยให้ความสำคัญกับการใช้แหล่งเงินกู้ในประเทศหลัก 2. ยกระดับความร่วมมือในการพัฒนาโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย 3. แนวทางการพัฒนาระบบรถไฟ ควรมีการดำเนินการควบคู่กันไปทั้งการปรับปรุงระบบรถไฟในปัจจุบัน และการลงทุนเพื่อพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง 4. เร่งรัดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย เมื่อปี 54 ผ่านโครงการสินเชื่อแบบผ่อนปรนของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ในวงเงิน 300,000 ล้านบาท

ประเด็นที่ 1 นโยบายลงทุนของประเทศไทย นับตั้งแต่วิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจในปี 2540 ภาพรวมการลงทุนของประเทศไทยในรอบระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถบริหารให้เกิดการลงทุนที่สร้างรากฐานสำหรับอนาคตของประเทศได้ดีพอ ทั้งที่ประเทศไทยมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง การออมสุทธิสูงแต่ยังไม่มีการนำเงินออมในระบบดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ในการลงทุนเพื่อการพัฒนาโครงการสำคัญต่างๆ ของประเทศ ให้มีมาตรฐานและเพียงพอ ดังนั้นรัฐบาลจึงควรพิจารณากำหนดนโยบายการลงทุนในระยะ 5-10 ปีข้างหน้า โดยให้ความสำคัญกับการใช้แหล่งเงินกู้ในประเทศเป็นหลัก

ประเด็นที่ 2 โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย มีความสำคัญในระดับภูมิภาค เนื่องจากเป็นการเชื่อมโยงพื้นที่ชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกของประเทศไปสู่ชายฝั่งทะเลด้านตะวันตก ดังนั้นเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศไทยและสหภาพเมียนมาร์ เห็นควรยกระดับความร่วมมือในการพัฒนาโครงการดังกล่าวขึ้นเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล

ทั้งนี้ ในระหว่างที่ประธานาธิบดีสหภาพเมียนมาร์เดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 29 พ.ค.-2 มิ.ย.55 และมีกำหนดพบหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีในช่วงเวลาดังกล่าว เห็นควรเสนอฝ่ายเมียนมาร์ให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างไทย-เมียนมาร์ เพื่อให้มีกลไกในระดับรัฐบาลของทั้งสองประเทศในการขับเคลื่อนโครงการดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม

ประเด็นที่ 3 การลงทุนพัฒนาระบบราง ควรดำเนินการควบคู่กันไปทั้งการปรับปรุงระบบรถไฟที่มีอยู่ในปัจจุบันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและการลงทุนเพื่อพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง โดยควรมีการวางแผนเพื่อใช้ประโยชน์จากการเชื่อมโยงของทั้งสองระบบในลักษณะสนับสนุนกัน ทั้งนี้ในส่วนของการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงควรให้ความสำคัญกับการขนส่งสินค้าเพื่อช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ของประเทศและสนับสนุนการเชื่อมโยงโครงข่ายการขนส่งกับท่าเรือน้ำลึกฝั่งอันดามันและฝั่งทะเลจีนใต้ เพื่อรองรับการเคลื่อนย้ายเสรีสินค้าและบริการภายใต้แผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน

ประเด็นที่ 4 การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในปี 2554 โดยการสนับสนุนสินเชื่อแบบผ่อนปรนของธนาคารพาณิชย์ยังมีผลการดำเนินงานในการอนุมัติสินเชื่อค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับการสนับสนุนสินเชื่อแบบผ่อนปรนผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน เป็นต้น

ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีการจัดสรรวงเงินสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษ ในวงเงิน 300,000 ล้านบาท ให้กับธนาคารพาณิชย์ ภายใต้พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย พ.ศ. 2555 แล้ว ดังนั้นเห็นควรขอความร่วมมือให้สมาคมธนาคารไทยช่วยเร่งรัดธนาคารพาณิชย์ในการอำนวยความสะดวกเพื่อปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม (SMEs) และรายย่อย