เข้าพักโรงแรมโต15%ลุ้นวิกฤติยูโรโซน

ทีเอชเอ ลุ้นยูโรโซน การเมืองไทยนิ่ง อัตราเข้าพักปีนี้โต 15% ร้องรัฐเร่งจัดระเบียบด่วน หวังสางปัญหาก่อนเปิดเออีซี

นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) เปิดเผยว่า ทีเอชเอได้ติดตามปัญหาวิกฤตยูโรโซน และสถานการณ์ทางการเมืองไทยอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินอัตราการเข้าพักในช่วงครึ่งปีหลัง โดยมองว่าหากไม่มีปัจจัยลบในสองเรื่องดังกล่าว อัตราการเข้าพักของประเทศไทยจะเติบโตเฉลี่ยที่ 15%

 ทั้งนี้เห็นได้ว่าสถานการณ์การท่องเที่ยวไทย เริ่มกระเตื้องขึ้น โดยอัตราการเข้าพักทั้งประเทศ ช่วงระหว่างเดือนม.ค.-มิ.ย.ที่ผ่านมา เติบโตเฉลี่ย 10% ซึ่งเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา โรงแรมขนาดเล็กในกรุงเทพ อัตราการเข้าพักเฉลี่ย 61% เทียบกับปีที่ผ่านมา 60% ขณะที่อัตราการเข้าพักจ.เชียงใหม่ อัตราการเข้าพัก เฉลี่ย 50% เทียบกับปีที่ผ่านมา 31% เป็นต้น

นอกจากนี้การซ่อมรันเวย์ บริเวณท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ส่งผลให้เที่ยวบินเกิดความช้าล่าในการขึ้นลง เริ่มส่งผลกระทบระยะสั้น โดยมีนักท่องเที่ยวร้องเรียนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนจะส่งผลกระทบต่อยอดจองที่จะเดินทางมาช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซัน) ที่จะถึงนี้หรือไม่ อยู่ระหว่างการประเมินผล เบื้องต้นการเร่งซ่อมให้แล้วเสร็จอย่างรวดเร็ว รวมถึงการขยายฐานปฏิบัติการมายังท่าอากาศยานดอนเมือง คาดว่าจะช่วยลดผลกระทบได้

“ผู้ประกอบการท่องเที่ยวได้หันมารุกตลาดแถบเอเชียมากขึ้นนั้น เป็นเพียงความบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นเท่านั้น จากปัญหาวิกฤตการเงินแถบยุโรป แต่ไม่สามารถทดแทนได้ เพราะกลุ่มยุโรป เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง”นายสุรพงษ์

อย่างไรก็ตามทีเอชเอต้องการให้หน่วยงานภาครัฐ โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เร่งจัดระเบียบใบอนุญาตผู้ประกอบการโรงแรม รวมถึงจำนวนการลงทุนการเปิดโรงแรมในแต่ละพื้นที่ ให้เรียบร้อยก่อนการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ปี 2558 เพื่อให้ธุรกิจดรงแรมไทยเติบโตอย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งปัจจุบันสงครามราคาที่เกิดขึ้น ทำให้ราคาห้องพักโรงแรมระดับ 5 ดาวของไทย ราคาเฉลี่ย 97 เหรียญสหรัฐ/ คืน ซึ่งถูกที่สุดในอาเซียน ขณะที่สิงคโปร์ มีราคาเป็นอันดับ 1 เฉลี่ยที่ 231 เหรียญสหรัฐ/คืน

นายสุรพงษ์ กล่าวว่า หากรัฐเข้ามาจัดระเบียบให้ธุรกิจโรงแรมเข้าที่ ก่อนเปิดเออีซี เชื่อว่าจะทำอัตราการเข้าพักของไทยขยับได้กว่า 1 เท่าตัว ประมาณ 200 เหรียญสหรัฐ/คืน ซึ่งอัตราค่าห้องพักของประเทศไทย อยู่ในลักษะลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเห็นได้ว่าในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ไม่สามารถปรับราคาขึ้นได้ เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน