posttoday

พักฐานโอกาสซื้อ

06 พฤศจิกายน 2560

โดย...พิชัย เลิศสุพงศ์กิจ

โดย...พิชัย เลิศสุพงศ์กิจ, CFP, และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.หลักทรัพย์ ธนชาต email: [email protected]

ดัชนีหุ้นไทยไม่ผ่านแนวต้าน 1,730 จุด ถูกขายทำกำไรระยะสั้นในหุ้นที่ดีดแรง เช่น หุ้นโรงกลั่นน้ำมัน ขณะที่หุ้นผู้ให้บริการมือถือถูกกดดันจากความกังวลต่อการประมูลคลื่นความถี่รอบใหม่

ระยะสั้นหุ้นไทยแกว่งหาฐานใหม่มีแนวรับ 1,695 จุด หรือ 1,680 จุดภาพระยะกลาง-ยาวไม่เปลี่ยน เป้าหมายดัชนีปีหน้าที่ 1,830 จุด ปีถัดไป 2,000 จุด อิงค่าสัดส่วนราคาต่อกำไร (พี/อี) 16 เท่า

หุ้นที่ขึ้นเร็วก่อนหน้านี้ทำให้หุ้นส่วนใหญ่เหลือโอกาสทำกำไรระยะสั้นไม่มาก จึงไม่แปลกที่จะเผชิญแรงขายทำกำไรกดราคาถอยลงมาราว 10% เช่น หุ้นโรงกลั่น บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC) บริษัทเอสโซ่ (ประเทศไทย) (ESSO) บริษัท ไทยออยล์ (TOP) หรือค้าปลีก บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY) บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) บริษัท โรบินสัน (ROBINS) มองเป็นโอกาสซื้อสะสมหุ้นรายตัว

กลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน ค่าการกลั่นฯ ผ่านจุดดีมากๆ ในไตรมาส 3 แล้ว ยังมีแนวโน้มทรงตัวแถว 7 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งดีกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลัง ที่ 6.4 ดอลลาร์/บาร์เรล

เศรษฐกิจโลกดีต่อเนื่องในปีหน้า ช่วยกระตุ้นความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปขึ้นเร็วกว่ากำลังการกลั่นน้ำมันใหม่ที่จะเข้ามาในปีหน้า โรงกลั่นส่วนใหญ่จึงจะใช้อัตราการกลั่นน้ำมันในระดับสูงต่อเนื่อง ขณะที่ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันทั้งในและนอกกลุ่มโอเปกส่งสัญญาณยืดข้อตกลงลดผลิตน้ำมันออกไปเป็นสิ้นปีหน้า

ผลดำเนินงานหุ้นโรงกลั่นมีแนวโน้มดีในปีหน้า จะทำให้หุ้น SPRC จ่ายปันผลในอัตราสูงใกล้ 9% ทั้งในปีนี้และปีหน้า รวมถึง ESSO จะล้างขาดทุนสะสมได้หมดในครึ่งหลังปีนี้ และปันผลได้กว่า 7% ในปีหน้า

หุ้นค้าปลีกผลดำเนินงานค่อยๆ ดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 3 รัฐส่งสัญญาณกระตุ้นการบริโภคปลายปีนี้ เพื่อให้การบริโภคฟื้นพื้นฐานยาวยังคงแข็งแกร่ง

การปรับฐานของหุ้นเหล่านี้จึงเป็นโอกาสในการซื้อสะสม

เศรษฐกิจภาพใหญ่ฟื้นตัวดีเกินคาด นำโดยการส่งออกและการท่องเที่ยวที่โตเกินคาด ทำให้การผลิตเพื่อส่งออกค่อยๆ เร่งตัวดีขึ้น ขณะที่ห่วงโซ่อุปทานการท่องเที่ยวต่างได้อานิสงส์ไปถ้วนหน้า ปีหน้ากิจกรรมในภาคก่อสร้างจะขึ้นมาช่วยอีกตัวหนึ่ง เมกะโปรเจกต์หลายโครงการจะเริ่มก่อสร้าง เช่น รถไฟฟ้าอีก 3 เส้นทาง-ชมพู เหลือง ส้ม รวมถึงโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ในภาคเอกชน เช่น โครงการวันแบงค็อก มูลค่าเฉียดแสนล้านบาท

การประมูลรถไฟฟ้าอีก 2 เส้นทาง มูลค่า 2 แสนล้านบาท ในครึ่งแรกของปีหน้า รวมถึงความคืบหน้าโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) แรงส่งจากเครื่องยนต์ส่งออก ท่องเที่ยว ลงทุน จะช่วยส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาพรวมค่อยๆ ดีขึ้น เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ช่วงขยายตัวยาวๆ เฉลี่ย 4.2% ในช่วงปี 2561-2563 ซึ่งจะหนุนให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนโตเฉลี่ย 10% ต่อปีในช่วงเดียวกัน

ด้านสภาพคล่องในตลาดการเงินโลกแม้จะผ่านจุดสูงสุดไปแล้วแต่ยังคงอยู่ในระดับสูง ไม่กระทบกิจกรรมทางเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลกปลายสัปดาห์ก่อน ธนาคารกลางสหรัฐมีมติคงอัตราดอกเบี้ยตามคาด และแสดงมุมมองบวกต่อภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐ ส่วนอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะยังคงเคลื่อนไหวต่ำกว่า 2% ในระยะใกล้ แต่คาดว่าจะเคลื่อนตัวเข้าใกล้เป้าหมายที่ระดับ 2% ในระยะกลางภาวะเศรษฐกิจสหรัฐจะปรับตัวในแนวทางที่จะหนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นมีแนวโน้มที่จะยังคงต่ำกว่าระดับที่คาดการณ์ไว้ในระยะยาวต่อไปสักระยะหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ทิศทางที่แท้จริงของอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นจะขึ้นอยู่กับแนวโน้มเศรษฐกิจตามข้อมูลที่จะเปิดเผยต่อจากนี้ ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เสนอชื่อ เจอโรม พาวเวล ดำรงตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คนใหม่ พาวเวลถือเป็นเจ้าหน้าที่เฟดสายพิราบที่สนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปก่อนหน้านั้น ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) มีมติขยายเวลาโครงการซื้อพันธบัตร (คิวอี) ออกไปอีก 9 เดือน จนถึงเดือน ก.ย. 2561 และเปิดโอกาสที่จะทำคิวอีต่อไปหลังจากนั้น เช่นเดียวกับธนาคารกลางญี่ปุ่นที่ยังคงทำคิวอีต่อในปีหน้า

การเดินหน้าทำคิวอีของธนาคารกลางยุโรปและญี่ปุ่นจะช่วยลดทอนผลลบจากการค่อยๆ ถอนคิวอีของเฟดสภาพคล่องทางการเงินในบ้านเรามีแนวโน้มที่จะสูงต่อเนื่อง จากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดกว่า 1 ล้านล้านบาท/ปี แม้เศรษฐกิจไทยจะมีสัญญาณขยายตัวดีขึ้น ซึ่งจะกระตุ้นการนำเข้า แต่เรายังคงเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูงอยู่ดี ภายใต้สถานการณ์ที่ระบบการเงินไทยยังคงมีสภาพคล่องสูงมาก และอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลักจะปรับขึ้นอย่างเชื่องช้า จึงมีความเป็นไปได้สูงที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายบ้านเราจะทรงตัวในระดับต่ำ 1.5% ตลอดปี 2561 สถานการณ์เช่นนี้ดูจะเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นในระยะปานกลาง โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ค่อยๆ เร่งตัวขึ้นอยู่แล้ว

หุ้นกลุ่มธนาคารมีสัญญาณบวก หลังธนาคารกสิกรไทย (KBANK) จ่อลดตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญในปีหน้า สำรองฯ ปัจจุบันเพียงพอตามมาตรฐานบัญชี IFRS9 ขณะที่เศรษฐกิจฟื้นตัวดีเกินคาด ธนชาตชอบ KBANK ธนาคารทหารไทย (TMB) บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) ธนาคารเกียรตินาคิน (KKP) ไฮไลต์ช่วงนี้ต้องเกาะติดผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ก่อนถึงเส้นตายในวันที่ 15 พ.ย.นี้ การรายงานงบนี้จะนำไปสู่การปรับประมาณการกำไรและราคาหุ้นเป้าหมายต่อไป

สรุปว่า ตลาดหุ้นเผชิญแรงขายทำกำไร แต่มองเป็นโอกาสซื้อแถวแนวรับ 1,695 และ 1,680 จุด เพื่อรับโอกาสที่หุ้นจะแกว่งขึ้นในระยะกลาง มองความเสี่ยงด้านล่างจำกัด เนื่องจากปีนี้คนไทยยังซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ค่อนข้างน้อย ช่วงปลายปียังมีเม็ดเงินรอซื้ออยู่อีกอย่างน้อย 3 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ สามารถติดตามบทวิเคราะห์รายหุ้นของธนชาตผ่านแอพพลิเคชั่น Think ที่พร้อมให้ดาวน์โหลดแล้ววันนี้ ทั้งในระบบ iOS และ Android

ดาวน์โหลดที่นี่ https://goo.gl/BhhePK