posttoday

เลือกกองทุนหุ้น ในสไตล์ที่ใช่

09 พฤษภาคม 2560

โดย...บุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ธนชาต

โดย...บุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ธนชาต

เมื่อสัปดาห์ก่อนบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาต (บลจ.ธนชาต) ได้แนะนำการจัดพอร์ตสำหรับไตรมาส 2 ไปแล้ว ซึ่งพบว่าในทุกพอร์ตลงทุน เราแนะนำให้มีกองทุนหุ้นไทยติดพอร์ตไว้ ไม่ว่าจะรับความเสี่ยงได้ต่ำหรือสูงก็ตาม โดยแนะนำสัดส่วนอยู่ที่ 2-96% ตามแต่ความเสี่ยงที่รับได้

การลงทุนในหุ้นตามความเสี่ยง อาจทำได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะปรับสัดส่วนตามที่ได้กล่าวไปเบื้องต้น หรือเลือกลงทุนในกองทุนหุ้นที่เหมาะกับสไตล์หรือเป้าหมายของตัวเอง

อย่าง บลจ.ธนชาตเอง ก็มีกองทุนหุ้นไทยอยู่ถึง 14 กองทุน ไม่รวมกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) กองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ซึ่งแต่ละกองทุนก็มีนโยบายการลงทุนที่แตกต่างกันออกไป มีทั้งกองทุนหุ้นสำหรับผู้ที่เริ่มต้นลงทุนในหุ้น กองทุนหุ้นที่เน้นลงทุนในหุ้นทั่วไป หรือแม้แต่เน้นลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็ก หรือจำกัดการลงทุนในหุ้นประมาณ 10 ตัว โดยทั้งหมดนี้ บลจ.ธนชาตก็ออกแบบมาเพื่อตอบสนองผู้ลงทุนที่หลากหลาย และสถานการณ์ตลาดในแต่ละช่วงเวลา

แม้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะมีการจัดอันดับความเสี่ยงของกองทุนหุ้นทั่วไปอยู่ในระดับ 6 เหมือนกัน แต่ในรายละเอียดก็มีความแตกต่างในเรื่องของความผันผวนและผลตอบแทนอยู่พอสมควร โดยเราดูง่ายๆ จากค่า SD ซึ่งเป็นค่าทางสถิติที่บอกเราว่า ราคาของกองทุนในแต่ละวันในช่วงที่เราคำนวณเบี่ยงเบนออกจากค่าเฉลี่ยมากหรือน้อย ยิ่งมากก็ยิ่งแสดงว่ากองทุนนั้นมีความผันผวนสูง

กองทุนที่ถือว่าผันผวนต่ำที่สุดของ บลจ.ธนชาต คือ T-PrimeLowBeta ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นไทยที่มีค่า Beta ต่ำกว่า 0.85 โดยจุดเริ่มต้นมาจาก กองทุน T-LowBeta ซึ่งถือเป็นกองทุนหุ้นไทยผันผวนต่ำสุดฮิตของเราที่ได้รับความนิยมมาก ประกอบกับเป็นช่วงที่ดอกเบี้ยต่ำมาก ทำให้ผู้ฝากเงินต้องการหาสินทรัพย์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ หุ้น แต่ด้วยความที่คุ้นเคยแต่ฝากเงิน ทำให้การเปลี่ยนไปลงทุนหุ้นทั่วไปเลยดูจะยากไป เพราะฉะนั้นกองทุนนี้จึงเข้ามาตอบโจทย์ดังกล่าว คัดเลือกลงทุนในหุ้นที่บริษัทมีความมั่นคง ไม่อ่อนไหวไปตามวงจรเศรษฐกิจ มีการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูงและสม่ำเสมอ และอาจเรียกได้ว่ากองทุนนี้เน้นลงทุนในหุ้นที่ผันผวนในหุ้นต่ำที่สุดในตลาดก็ว่าได้

ปัจจุบันกองทุน T-PrimeLowBeta ได้รับความนิยมมาก ขนาดกองทุนอยู่ที่ประมาณ 3,500 ล้านบาท ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2559 จนถึงเดือน เม.ย. 2560 ทำผลตอบแทนไปแล้ว 12% ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่น่าพอใจเลยทีเดียว และคาดกว่ากองทุนนี้จะสามารถจ่ายเงินผลตอบแทนคืนแบบอัตโนมัติให้กับลูกค้า (Auto Redeem) ได้เมื่อถึงรอบ และที่ผ่านมาก็จ่ายไปแล้ว 2 ครั้ง รวม 0.39 บาท (เดือน พ.ย. 2559 จ่าย 0.2 บาท เดือน พ.ค. 2559 จ่าย 0.19 บาท

และสำหรับกองทุนหุ้นไทยเก่าแก่ ซึ่งเป็นกองทุนหุ้นไทยกองแรกของ บลจ.ธนชาต นั่นก็คือ T-PPSD (ปี 2535) ซึ่งเป็นกองทุนที่นโยบายเปิดกว้าง สามารถลงทุนในหุ้นไทยได้ทุกประเภท และตลอด 25 ปีที่ผ่านก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถสร้างผลตอบแทนได้ชนะหุ้นไทยโดยรวม กองทุนทำผลงานเฉลี่ยอยู่ที่ 8.37% ต่อปี แต่หุ้นไทย (SET Index) ทำผลตอบได้เพียง 3.15% ต่อปีเท่านั้น

ส่วนกองทุนน้องใหม่แต่เน้นเก๋าเกมอย่าง T-Privilege เหมาะกับนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นมาสักระยะ หรือมีความรู้ความเข้าใจในการลงทุนหุ้นพอสมควร โดยกองทุนจะเน้นคัดเลือกลงทุนในหุ้นที่ดีที่สุดในตลาดเพียง 10 ตัว จากทั้งหมด 600 กว่าตัว ทำให้ราคาค่อนข้างขึ้นลงในกรอบที่กว้าง ถ้าผู้จัดการกองทุนเลือกหุ้นถูกตัว ผลตอบแทนก็จะสูงมาก และในทางกลับกันหากผู้จัดการเลือกหุ้นผิด ผลตอบแทนก็จะต่ำมากเช่นกัน ซึ่งเป็นไปตามทฤษฎี High Risk, High Return อย่างชัดเจน

กองทุนสุดท้าย คือ กองทุนหมวดอุตสาหกรรมการเงินอย่าง T-FinanceTH ที่ตั้งแต่ต้นปีทำผลงานได้โดดเด่นกว่า 7% เมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นไทยทั้งกระดานที่ทำผลงานอยู่ที่ 3.5% ซึ่งโดยลักษณะของกองทุนนี้เป็น Sector Fund จึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัว ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น แน่นอนว่าหุ้นที่สามารถทำผลตอบแทนได้ดีที่สุด คือหุ้นกลุ่มธนาคารนั่นเอง

จะเห็นได้ว่า แม้เป็นกองทุนหุ้นเหมือนกัน แต่ต่างก็มีคาแรกเตอร์หุ้นที่ลงทุนผลตอบแทนแต่ละช่วงเวลาที่ต่างกัน ทำให้เหมาะกับผู้ลงทุนที่ต่างกัน เพราะฉะนั้นผู้ลงทุนควรศึกษาในรายละเอียดของกองทุนก่อน เพื่อเลือกให้ตรงกับตัวเอง ไม่มีกองทุนหุ้นที่ดีที่สุด มีแต่กองทุนหุ้นที่เหมาะที่สุดกับเรามากกว่า