posttoday

หุ้นไทยยังผันผวนสูงจากการเมืองและQE

16 ธันวาคม 2556

โดย...พิชัย เลิศสุพงศ์กิจ CFP ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ธนชาต จำกัด (มหาชน)

โดย...พิชัย เลิศสุพงศ์กิจ CFP ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ธนชาต จำกัด (มหาชน)

ตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวนสูงท่ามกลางความเสี่ยงจากสถานการณ์ทางการเมืองและการปรับลดแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หรือการลดทอน QE หลังหลุดจุดต่ำสุดเดิม ดัชนีตลาดมีแนวรับสำคัญถัดไปแถว 1,320 จุด

สัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนมีความวิตกกังวลมากขึ้นว่า เฟดอาจเริ่มปรับลด QE ในการประชุมวันที่ 17-18 ธ.ค.นี้ เร็วกว่าที่เคยประเมิน|กันไว้ว่าจะเป็นในเดือน มี.ค. 2557 หลังมีสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงาน

บลูมเบิร์กโพลสำรวจความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2556 พบว่า มีเพียง 17% ที่คาดว่าเฟดจะเริ่มลด QE ในการประชุมเดือน ธ.ค. ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเป็น 34% ในการสำรวจเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเข้าใกล้ 50% หลังสภาคองเกรสของสหรัฐบรรลุข้อตกลงทางการคลัง ซึ่งช่วยหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานภาครัฐในช่วงต้นปี 2557

อย่างไรก็ดี ผมยังเชื่อว่าเฟดจะยังคง QE ในการประชุมครั้งนี้ เนื่องจากการลด QE เร็วเกินไปอาจทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจสะดุดแม้สภาคองเกรสจะหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานภาครัฐ แต่ข้อตกลงทางการคลังล่าสุดยังทำให้มาตรการการคลังลดบทบาทในการกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่ดี

การเริ่มดำเนินการมาตรการสำคัญก่อนช่วงเทศกาลวันหยุดยาวจะทำให้ตลาดการเงินผันผวนรุนแรง เพราะเป็นช่วงตลาดเบาบาง

ดังนั้น หากเฟดคง QE ในการประชุมครั้งนี้อาจมีแรงซื้อหุ้นคืน โดยเฉพาะจากกลุ่มที่ได้ชอร์ตเซลหุ้นไว้

ในกรณีที่เฟดตัดสินใจลด QE อาจมีแรงขายต่อเนื่องจนถึงต้นสัปดาห์หน้า อย่างไรก็ดี นักลงทุนต่างชาติได้ขายสุทธิหุ้นไทยในปีนี้ไปแล้วสูงถึง 1.85 แสนล้านบาท เมื่อเข้าใกล้ช่วงวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลคริสต์มาสต่อเนื่องไปถึงปีใหม่ แรงขายต่างชาติจะเบาบางลง ขณะที่แรงซื้อจากกองทุน LTF และ RMF ตลอดจนการทำราคาปิดเพื่อตกแต่งบัญชี (Window Dressing) ก่อนสิ้นปีจะช่วยหนุนตลาดหุ้นที่เริ่มเข้าเขตถูกขายมากเกินไปแล้ว

ด้านสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศยังยืดเยื้อแม้จะยุบสภาไปแล้ว แต่ยังคงมีความเสี่ยงที่การเลือกตั้งทั่วไปจะถูกเลื่อนออกไปจากวันที่ 2 ก.พ. 2557 อย่างไรก็ดี ทุกฝ่ายต่างพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง

ความพยายามในการปฏิรูปการเมืองโดยมวลมหาประชาชนอย่างสันติ อหิงสา และไม่ต้องให้ทหารปฏิวัติ ถือเป็นพัฒนาทางการเมืองครั้งประวัติศาสตร์

แม้ความเสี่ยงทางการเมืองไทยยังอยู่ในระดับสูง แต่ราคาหุ้นได้สะท้อนความเสี่ยงนี้ รวมถึงเรื่องการลด QE ไปมากแล้ว

แม้การคาดการณ์จุดต่ำสุดของตลาดจะเป็นเรื่องยากยิ่ง อาจถึงขั้นเป็นไปไม่ได้เลย แต่การประเมินมูลค่ากิจการไม่ได้ยากเกินกำลัง ในช่วงที่ความเสี่ยงทางการเมืองสูง อาจเลือกใช้สมมติฐานที่ระมัดระวังมากยิ่งขึ้น หากราคาหุ้นร่วงลึกจนต่ำกว่ามูลค่ากิจการมากเกินก็เป็นจังหวะของการเลือกลงทุนระยะยาว เมื่อวิกฤตทางการเมืองผ่านไป เศรษฐกิจและราคาหุ้นก็จะพลิกฟื้นกลับมาเหมือนที่เคยผ่านมา

แม้ช่วงสั้นความเสี่ยงยังสูง แต่โอกาสทำกำไรก็มากขึ้นเรื่อยๆ หลังราคาหุ้นถอยหนัก แนะทยอยเก็บหุ้นกลุ่มโมเดิร์นเทรด (ชอบ CPALL, HMPRO, GLOBAL) ผู้ให้บริการมือถือ (DTAC, INTUCH, ADVANC) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้า BTS รวมถึงบริษัทลูกอย่าง VGI หุ้นดาวเทียม THCOM

ส่วนหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวอาจถูกกระทบระยะสั้น ถอยตั้งรับลึกหน่อย แต่แนวโน้มระยะยาวยังไม่เปลี่ยน หุ้นที่เด่นได้แก่ AOT CENTEL การอ่อนตัวของค่าเงินบาทและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจะช่วยหนุนหุ้นส่งออก (ชอบ TUF) หุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ (ชอบ PTTGC, BANPU)

การปรับฐานรอบนี้จึงเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนระยะยาว รอเก็บของถูกเพิ่มที่ดัชนี 1,320, 1,280 จุด ตามลำดับ