ธุรกิจและการลงทุน เริ่มต้นสร้างได้ ... ไม่ต้องใช้เงิน (เยอะ)
โดย...จักรพงษ์ เมษพันธุ์ The Money Coach
โดย...จักรพงษ์ เมษพันธุ์ The Money Coach
แม้ว่าการเป็นหนี้จะทำให้เราไม่มีเงิน แต่การไม่มีเงินไม่ใช่ข้อจำกัดของการลงทุน น่าเสียดายที่หลายคนใช้ข้อจำกัดนี้ปิดโอกาสการสร้างธุรกิจของตัวเอง
ผมเริ่มต้นลงทุนสร้างธุรกิจแรกในปี 2548 ด้วยเงินลงทุนเพียง 2,500 บาท หุ้นกันกับเพื่อนอีก 2 คนทำธุรกิจฝึกอบรม เงินลงทุนเริ่มต้น 7,500 บาท ของพวกเราถูกนำไปลงทุนซื้อเครื่องแฟกซ์ (พรินเตอร์และสแกนเนอร์) 1 เครื่องราคา 3,600 บาท ซื้อชื่อโดเมนและเช่าโฮสต์สำหรับทำเว็บไซต์ 800 บาท
หนึ่งในหุ้นส่วนของผมเขียนเว็บไซต์ได้ เราจึงทำเว็บมีรายละเอียดแค่ 2 หน้า หน้าข้อมูลสัมมนา 1 หน้า หน้ารับสมัครอีก 1 หน้า เราติดต่อวิทยากรเก่งๆ มาบรรยายให้ (ยังไม่ต้องจ่ายเงิน) เราติดต่อจองสถานที่สัมมนา(ยังไม่ต้องจ่ายเงิน) เราติดต่อลงโฆษณากับหนังสือพิมพ์ธุรกิจ (ยังไม่ต้องจ่ายเงิน)
ธุรกิจของเรารับเงินสดจ่ายเงินให้กับคู่ค้าหลังจบบริการ มันสร้างรายได้หลักแสนให้กับพวกเราในปีแรก และกลายเป็นเงินล้านในปีต่อมา
นี่คือการลงทุนภายใต้หลักคิด “ไม่ต้องใช้เงิน” หรือ “ใช้เงินให้น้อยที่สุด”!!
ลูกศิษย์ผมคนหนึ่งทำธุรกิจสั่งซื้อของจากต่างประเทศมาขาย เขานำภาพถ่ายสินค้าจากบริษัทเจ้าของสินค้ามาลงโฆษณาบนเฟซบุ๊ก จากนั้นก็เปิดให้ลูกค้าพรีออร์เดอร์ โดยโอนเงินมาก่อนครึ่งหนึ่ง เมื่อได้คำสั่งซื้อจำนวนหนึ่งก็ให้แฟนที่อยู่ต่างประเทศสั่งซื้อของโดยใช้บัตรเครดิต แล้วส่งของกลับมาเมื่อเรียกเก็บเงินลูกค้าได้ก็นำเงินไปชำระบัตรเครดิตเต็มจำนวนไม่มีหนี้คงค้าง
เป็นอีกธุรกิจที่แทบไม่ต้องลงทุนอะไรไปก่อนเลย แต่สามารถสร้างกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ
ในปัจจุบันธุรกิจประเภทนี้ใช้ระบบให้ลูกค้าโอนเงินเต็มจำนวนเลยด้วยซ้ำ นั่นหมายความว่าเจ้าของธุรกิจรับหน้าที่เป็นผู้จัดหาสินค้าโดยไม่มีความเสี่ยงใดๆ เลย
ลูกศิษย์อีกคนหนึ่งไม่ค่อยมีสตางค์เก็บเงินได้ก้อนหนึ่งไม่กี่พัน ก็นำไปสมัครเรียนคอร์สการเป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์
หลังเลิกงานเขาแบ่งเวลาไปหาทรัพย์สินดีๆ มาเก็บไว้ในพอร์ต แล้วช่วยลูกค้าโฆษณาทุกครั้งที่ขายบ้านได้ เขาได้ส่วนแบ่ง 3 เปอร์เซ็นต์
นี่ก็เป็นการเริ่มต้นสร้างธุรกิจโดยไม่ต้องใช้เงิน
ในโลกของการลงทุน การไม่มีเงินไม่เคยเป็นข้อจำกัด จริงอยู่ที่การลงทุนจำเป็นต้องใช้เงินแต่ก็ไม่มีกติกาใดในโลกที่บอกว่าเราต้องใช้เงินของเราเอง
คนที่เป็นหนี้หากรู้จักบริหารความคิดของตัวเอง ไม่เอาใจไปจดจ่อกับทุกข์มากจนเกินพอดี ก็มีโอกาสที่จะมองเห็นช่องทางการลงทุนได้
หลักคิดง่ายๆ ก็ในเมื่อไม่มีเงินแล้ว ก็จงลืมเรื่องเงินไปมองหาช่องทางหรือโอกาสการลงทุนให้เจอเสียก่อน แล้วถ้าต้องใช้เงินในการเริ่มต้นโอกาสนั้น ก็ค่อยมาคิดกันอีกทีว่าเราจะหาเงินมาจากไหน
ปิดท้ายกันอีกสักเคส ผมมีบ้านเช่าอยู่หลังหนึ่ง เป็นบ้านเช่าย่านลาซาล 2 ชั้น เจ้าของเดิมสร้างและต่อเติมกั้นห้องเป็นบ้านเช่า 5 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ เก็บค่าเช่าได้รวมเดือนละ 1.2 หมื่นบาท (สภาพดูไม่สวย แต่คนเช่าเต็ม ราคาห้องเช่า 2,000-2,500 บาท/ห้อง)
ตอนนั้นเจ้าของประกาศขายเลหลัง 1.4 ล้านบาท เพราะต้องการนำเงินไปลงทุนกิจการอื่น ถ้ากู้ 100 เปอร์เซ็นต์ ก็จะผ่อนธนาคารตกเดือนละ 1 หมื่นบาท มีส่วนต่างเล็กๆ 2,000 บาท
ผมเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ได้ตอนที่ข้อมูลเครดิตของผมยังมีรายการผิดนัดชำระหนี้เต็มไปหมด (ที่พวกเราชอบเรียกกันว่า “แบล็กลิสต์” นั่นแหละ) แถมยังตกงานอีกต่างหาก
คำถามคือผมซื้อบ้านหลังนี้ได้อย่างไร? จะใช้เงินคนอื่น (Other People’s Money : OPM) โดยการกู้เงินธนาคารมาซื้อก็ไม่ได้เพราะสลิปเงินเดือนไม่มี แถมคดีอีกเพียบ
คิด คิด คิด ...
อย่างที่บอกครับ ออกไปหาโอกาสให้เจอก่อน เมื่อเจอโอกาสแล้วสมองคุณจะคิดออกเองว่าต้องทำอย่างไร อย่าใช้เงินเป็นข้อจำกัด แต่จงใช้โอกาสเป็นแรงผลักในการหาคำตอบ
สุดท้ายเคสนี้ผมใช้สลิปเงินเดือนแฟนครับ ใช้เงินคนอื่นไม่ได้ก็ใช้เครดิตคนอื่นแทน 555
แก้ปัญหาง่ายๆ ได้บ้านมา 1 หลัง มีคนผ่อนให้แถมได้ค่าขนมอีกเดือนละ 2,000 บาท ครบ 3 ปี รีไฟแนนซ์ เอาเงินส่วนต่างไปลงทุนต่อ
อย่าให้การเป็นหนี้และการไม่มีเงินเป็นข้อจำกัดสู่การมีอิสรภาพทางการเงินนะครับ
สู้โว้ยยยยยยย ...