posttoday

เอกชนลดเชื่อมั่นเศรษฐกิจฟื้น

09 สิงหาคม 2560

ดัชนีความเชื่อมั่นหลุดต่ำกว่าปกติ ห่วงจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว ค่าเงินบาทแข็ง หวังครึ่งปีหลังกระเตื้องขึ้น

ดัชนีความเชื่อมั่นหลุดต่ำกว่าปกติ ห่วงจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว ค่าเงินบาทแข็ง หวังครึ่งปีหลังกระเตื้องขึ้น

นายพูลพัฒน์ ศรีเปล่ง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารความเสี่ยง ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ดัชนีธุรกิจกรุงไทย (Krung Thai Business Index : KTBI) ในไตรมาส 2/2560 จากการตอบกลับแบบสำรวจของลูกค้านักธุรกิจ 2,573 รายทั่วประเทศ พบว่าค่อนข้างอ่อนไหว และวกกลับไปลดต่ำกว่าระดับปกติ (50) ที่ระดับ 49.38 จากระดับ 50.56 ในไตรมาสก่อน

ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ประกอบการมี ความกังวลด้านกำลังซื้อและความเปราะบางของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะระดับฐานราก หลังราคาสินค้าเกษตรสำคัญเริ่มชะลอลง อีกทั้งค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลต่อการส่งออกในระยะถัดไป

นอกจากนี้ ยังกังวลต่อการบริหารจัดการแรงงานและต้นทุนการผลิต หลังรัฐบาลเตรียมบังคับใช้กฎหมายแรงงานต่างด้าว โดยกลุ่มธุรกิจที่พบว่ามีความกังวลมากขึ้น ได้แก่ ธุรกิจการ เกษตร ธุรกิจพาณิชยกรรม ธุรกิจบริการ ธุรกิจก่อสร้าง และธุรกิจการเงินและประกันภัย

อย่างไรก็ดี มีกลุ่มธุรกิจที่ความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น ได้แก่ ธุรกิจอุตสาหกรรมการเกษตร ธุรกิจอุตสาหกรรม และ ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากต้นทุนการผลิตลดลงตามราคาสินค้าเกษตร ต้นทุนทางการเงินลดลงตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ และการส่งออกที่เติบโตสูงกว่าคาดการณ์

ทั้งนี้ พบว่าภาคกลางและภาคตะวันตกเป็นภูมิภาคเดียวที่ความเชื่อมั่น เพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นแหล่งนิคมอุตสาหกรรมและแหล่งผลิตสินค้าอุตสาหกรรม สำคัญที่มีแนวโน้มเติบโต และได้รับผลบวกจากการส่งออกที่ขยายตัว ส่วนกรุงเทพฯ และปริมณฑล แม้ความเชื่อมั่นลดลง แต่เป็นภูมิภาคที่มีความเชื่อมั่นสูงสุด เนื่องจากจะมีการลงทุนด้านคมนาคมเกิดขึ้นอีกหลายโครงการและรถไฟฟ้าหลายสาย

สำหรับในไตรมาส 3/2560 หากรัฐบาลดึงการลงทุนเข้าสู่อีอีซีได้มากขึ้น และขับเคลื่อนโครงการลงทุนขนาดใหญ่ได้ตามเป้า รวมถึงการจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวมีความชัดเจน จะช่วยหนุนความเชื่อมั่นให้ดีขึ้น

ส่วนผลกระทบของอุทกภัยในภาคเหนือและภาคอีสานคาดว่าจะมีความเสียหายทางเศรษฐกิจเบื้องต้นที่ 5,000-8,000 ล้านบาท คิดเป็น 0.05% ของจีดีพี ทั้งนี้คาดว่าจีพีดีปีนี้จะอยู่ที่ 3.5% และ 3.6% ในปีหน้า