posttoday

หั่นประมาณการกำไรรอบ2

19 พฤศจิกายน 2556

โดย...บล.เอเซีย พลัส

โดย...บล.เอเซีย พลัส

สัปดาห์นี้ยังอยู่ภายใต้แรงกดดันจากปัจจัยการเมือง ขณะที่ผลประกอบการงวดไตรมาส 3 ปีนี้ออกมาต่ำกว่าคาด นำไปสู่การปรับลดประมาณการกำไรลง ทำให้สัดส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (พี/อี) ดีดกลับไปอยู่สูงกว่า 15 เท่า แนะนำลงทุนด้วยความระมัดระวัง

ต้องติดตามคำวินิจฉัยของศาล และการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

สถานการณ์ทางการเมือง นอกจากความร้อนแรงในประเด็นเดิมที่มีอยู่ ในสัปดาห์นี้ยังมีอีกอย่างน้อย 2 ประเด็นที่ต้องติดตาม เริ่มจากวันที่ 20 พ.ย. 2556 ศาลรัฐธรรมนูญจะมีการอ่านคำวินิจฉัยในกรณีที่มีผู้ร้องว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มา สว. ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 68 (ว่าด้วยการล้มล้างการปกครองฯ) ซึ่งหากคำวินิจฉัยออกมาในแนวทางที่เห็นว่าขัดต่อมาตรา 68 ผลที่ตามมาก็ดูค่อนข้างร้ายแรง เนื่องจากจะนำไปสู่การยุบพรรคและตัดสิทธิทางการเมืองของ สส. และ สว.ที่ลงชื่อสนับสนุน จำนวน 312-319 คน (ข้อมูลที่เปิดเผยผ่านสื่อมี 2 ตัวเลข) ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ได้ แต่หากคำวินิจฉัยของศาลออกมาในแนวทางที่เห็นว่าไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ก็อาจทำให้สถานการณ์เริ่มผ่อนคลายลงได้บ้าง

ส่วนประเด็นหนึ่งที่ต้องติดตาม ได้แก่ การเตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งเป็นไปได้ที่จะต้องเห็นการยื่นญัตติในสัปดาห์นี้ เนื่องจากสมัยประชุมสามัญทั่วไปครั้งนี้จะจบลงในวันที่ 28 พ.ย. 2556

ทั้งนี้ เป้าหมายการอภิปรายคาดว่าจะมุ่งไปที่ตัวนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ในช่วงต้นสัปดาห์จะมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ให้กระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ในวาระที่ 2 และ 3 ของวุฒิสภา ซึ่งหากผ่านไปได้ก็ต้องติดตามว่าจะมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความหรือไม่ หากมีการยื่นก็ต้องรอผลการวินิจฉัยของศาลออกมาก่อน หากไม่ขัดจึงดำเนินการนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย และประกาศใช้ต่อไป

ในช่วงที่มีการพิจารณาของ สว. คาดว่าจะเห็นการเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งหุ้นที่โดดเด่น ได้แก่ บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (UNIQ) ให้มูลค่าเหมาะสมที่ 11.15 บาทต่อหุ้น และหุ้นบริษัท ศรีราชาคอนสตรัคชั่น (SRICHA) ให้มูลค่าหุ้นละ 53.43 บาท

ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2556 ของตลาดลง 5% จากฐานเดิม

งวด 6 เดือนแรกปีนี้ บริษัทจดทะเบียน (บจ.) มีกำไร สัดส่วน 48.53% ของประมาณการกำไรทั้งปี 2556 ขณะที่ไตรมาส 3 ตัวเลขกำไรยังต่ำกว่าที่คาด อีกทั้งมีการบันทึกรายการพิเศษเข้ามาอีกหลายรายการ ทำให้ฝ่ายวิจัยต้องทำการปรับลดประมาณการกำไรของ บจ.ลงเป็นครั้งที่ 2 ของปี

ทั้งนี้ รายการปรับปรุงขนาดใหญ่ที่เห็นได้ ณ จุดนี้ ประกอบด้วย รายการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายพิเศษของบริษัท การบินไทย (THAI) บริษัทโทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA) บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) มูลค่ารวมกว่า 1.87 หมื่นล้านบาท การเลื่อนกำหนดการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) มูลค่า 1,300 ล้านบาท และผลประกอบการที่แท้จริงต่ำกว่าคาดของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) บริษัท ซีพี ออลล์ (CPALL) บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) ซึ่งเมื่อรวมกับการปรับของบริษัทอื่นๆ อีกคาดจะทำให้กำไรงวดปี 2556 ลงจากฐานเดิมประมาณ 5.18% ทำให้กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของตลาดหุ้นไทยลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 92-93 บาท เติบโตประมาณ 8.63% จากประมาณการเดิมที่คาดว่าจะเติบโต 14.7% จากปี 2555 ทำให้พี/อีปัจจุบันกลับขึ้นมาสูงกว่า 15 เท่าอีกครั้ง ส่วนปี 2557 คาดว่ากำไรจะเติบโต 14.5% จากปี 2556

กระแสเงินทุนยังไหลออกจากประเทศกำลังพัฒนา

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (11-14 พ.ย.) ต่างชาติยังคงขายสุทธิหุ้นในภูมิภาค ราว 1,443 ล้านเหรียญสหรัฐ เช่นเดียวกับในประเทศไทยที่ยังคงขายราว 1.2 หมื่นล้านบาท จากแรงกดดันของปัจจัยการเมืองภายในประเทศ ส่วนปัจจัยคิวอีซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะยังคงอยู่จนถึงไตรมาสแรกของปี 2557 อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าตลาดหุ้นสหรัฐแม้จะค่าพี/อีสูงกว่า 16 เท่า แต่คาดการณ์ว่าอาจมีการปรับประมาณการกำไรของตลาดขึ้น