posttoday

เวียดนามวันที่ท้องฟ้าเปิดหลังฝนฉ่ำ

23 เมษายน 2565

คอลัมน์ เปิดประตูค้าชายแดน

เมื่ออาทิตย์หลังเทศกาลสงกรานต์ ผมมีโอกาสเดินทางไปประชุมที่เมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ซึ่งผมไม่ได้เดินทางไปที่นั่นมานานเกือบ 5 ปีแล้ว อีกทั้งในทริปนี้เป็นทริปแรกตั้งแต่เริ่มมี COVID-19 เป็นต้นมา ก็นานเกือบสองปีครึ่งแล้วที่ไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศ ทำให้มีความรู้สึกตื่นเต้นน่าดู

ก่อนเดินทางผมต้องไปจัดการตรวจ RT-PCR ก่อนเดินทาง 72 ชั่วโมง และออกใบยืนยันเป็นภาษาอังกฤษไว้เพื่อแสดงให้ตรวจคนเข้าที่สนามบินเมืองโฮจิมินห์ดู ซึ่งคืนนั้นนอนแทบไม่หลับทั้งคืนด้วยความตื่นเต้นเพราะไม่ได้เดินทางมานานเลยครับ

วันเดินทางผมตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อไปเช็คอินที่เคาน์เตอร์การบินไทย ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรมาก เพียงแต่เตรียมใบสำคัญรับรองการฉีดวัคซีนครบตามจำนวนที่กำหนด

อีกทั้งต้องดำเนินการลงทะเบียนไทยพลัสและประกันสุขภาพ ซึ่งผมก็ได้ให้พนักงานที่โรงแรม The Kinn Bangkok ของผมดำเนินการให้ เมื่อผ่านพิธีการตรวจเอกสารเดินทางที่ต.ม.สนามบินสุวรรณภูมิเสร็จ ก็รอเตรียมเดินทางที่ห้องพักผู้โดยสารได้เลยครับ

เมื่อมาถึงสนามบินโฮจิมินห์ ก็ต้องสแกน QR CODE ที่หน้าเคาน์เตอร์ตรวจคนเข้าเมือง เพื่อกรอกข้อมูลให้เรียบร้อย แล้วยื่นไปให้เจ้าหน้าที่พร้อมเอกสารใบรับรองฉีดวัคซีน และใบรับรอง RT-PCR เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีการเข้าเมือง โดยไม่ต้องมีการตรวจสอบอะไรเลย เรียกว่าง่ายกว่าที่คิดไว้มาก 

สิ่งที่เห็นหน้าสนามบิน ยังคงมีประชาชนที่เดินทางมารอรับญาติพี่น้อง ที่เดินทางมาจากต่างประเทศมากหน้าหลายตาเช่นเดิม นอกจากนี้ยังมีคนที่ไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัยมารออีกจำนวนไม่น้อยเลยครับ

พอขึ้นรถเพื่อไปที่บริษัท ผมก็ถามหุ้นส่วนผมว่า คนเวียดนามติด COVID-19 กันไม่มากเหรอ คุณมงคลหุ้นส่วนผมตอบว่า มีคนติดทุกวันๆละเกินแสนคน แต่ที่นี่ไม่ได้มีการกักตัวแล้ว เขามองว่าเป็นโรคประจำถิ่นไปแล้ว ซึ่งในวันนั้นหลังจากที่ประชุมเสร็จ เราได้เดินทางไปพักผ่อนที่เมืองชายหาดชื่อเมืองอุ๊งต่าวต่อ ซึ่งพอไปถึงโรงแรมก็เย็นมากแล้ว สังเกตุดูแขกที่มาพักโรงแรมคึกคักกันมาก แต่เป็นนักท่องเที่ยวชาวเวียดนามเสียเกือบทั้งหมด คนต่างชาติแทบจะมองไม่เห็นเลยครับ

หลังจากเช็คอินโรงแรมเสร็จ เราได้โทรศัพพ์ไปจองร้านอาหาร ปรากฎว่าเต็มไม่สามารถจองได้ เราจึงต้องหาร้านอาหารซีฟูดส์ทั่วไปอีกแห่ง กว่าจะได้ร้านที่ต้องการก็เล่นเอาเหนื่อยกันเลยครับ

พอเข้าไปถึงร้าน ปรากฎว่าลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการหนาตา คึกคักกันมาก มีทั้งมากันเป็นครอบครัว และมาเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ดื่ม-กินกันอย่างสนุกสนาน เสียงดังจากการชนแก้วกัน กลุ่มผู้ชายบางคนก็ถอดเสื้อดื่มกัน หน้ากากอนามัยไม่ต้องถามถึงเลยครับ เขาปล่อยของกันเต็มที่เลย

หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ ขากลับมาที่โรงแรม สังเกตุดูตามท้องถนน มีการแสดงคอนเสริตเล็กๆหน้าร้านคลับบาร์กันอย่างสนุกสนาน คืนนั้นเรากลับมานอนกันที่โรงแรมกันด้วยความอ่อนเพลียเลยครับ

เมืองอุ๊งต่าวเป็นเมืองชายหาดท่องเที่ยว คล้ายๆกับเมืองพัทยาบ้านเรา ห่างจากกรุงโฮจิมินห์ประมาณ 90 กิโลเมตร ในอดีตการเดินทางไปเมืองอุ๊งต่าว ต้องใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง ในการเดินทางโดยรถยนต์ ซึ่งยุ่งยากมาก นอกจากนี้ยังสามารถเดินทางโดยทางเรือ ด้วยการขึ้นเรือโดยสารจากท่าเรือโฮจิมินห์ อยู่แถวๆถนนฮายบ่าเจิง ที่เขตหนึ่งหรือก๊วนหมด ซึ่งก็ใช้เวลาพอๆกันกับรถยนต์

แต่ปัจจุบันนี้ ทางการเวียดนามได้สร้างทางด่วนสายใหม่ขึ้นมาอีกหนึ่งสาย เราสามารถเดินทางไปยังเมืองอุ๊งต่าวได้เพียงชั่วโมงกว่าเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ตลอดเส้นทางของทางด่วนสายใหม่ก็มีบ้านเรือนประชาชนมาปลูกตามริมถนนข้างทางด่วนตลอดเส้นทาง จึงดูไม่เหมือนทางด่วนเลยครับ 

วันรุ่งขึ้นหลังจากที่แวะตรวจตลาดที่ในเมืองอุ๊งต่าวเสร็จ เราก็เดินทางกลับ พอเข้ามาสู่กรุงโฮจิมินห์ เราได้เดินทางไปสำรวจตลาดกันต่อ ซึ่งวันนั้นไปดูทั้งตลาดสดและโมเดิร์นเทรด หรือซุปเปอร์มาร์เก็ตและห้างสรรพสินค้าต่างๆ เช่นที่ห้างอิออน ห้างเค-มาร์ท ห้างอี-มาร์ท ห้างโคออฟ เป็นต้น

เท่าที่สังเกตุดู โดยเฉพาะในห้างอิออนจะเห็นลูกค้าจะมากันเป็นครอบครัวเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสมาชิกแต่ละครอบครัวของคนเวียดนาม ก็มักจะมีกันไม่ต่ำกว่าสี่ถึงห้าคน และยังมีกลุ่มวัยรุ่นที่ก็เห็นเป็นกลุ่มๆ ซึ่งห้างอิออนจะไม่เหมือนซุปเปอร์มาร์เก็ตอิออนในบ้านเรา ที่มักจะไปอยู่ตามชุมชนต่างๆ ที่มีสถานที่เล็กคับแคบ ห้างอิออนในบ้านเราจึงไม่ได้ใหญ่โตนัก

ซึ่งในขณะที่ห้างอิออนในเวียดนามจะคล้ายๆห้างอิออนในประเทศญี่ปุ่น ที่มีพื้นที่ใหญ่โตมากๆ ผมสังเกตุดูแล้วทั้งอิออนหรืออี-มาร์ท เค-มาร์ท จะเป็นห้างสรรพสินค้ามากกว่าเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ต จึงเป็นที่หลบร้อนของชาวบ้านชาวเมืองได้เป็นอย่างดี

ทำให้ผมหวนนึกไปถึงในยุคประเทศไทยกำลังเริ่มพัฒนาใหม่ๆ ยุคนั้นก็จะมีห้างสรรพสินค้าไดมารู ราชดำริ ในยุคใหม่ๆนั้นเราจะพบเห็นชาวบ้านที่เป็นคุณตา-คุณยายแก่ๆ จะมีอาการเก้อๆกังๆตอนจะขึ้นบันไดเลื่อน ที่เวียดนามก็มีลักษณะคล้ายๆย้อนอดีตของประเทศไทยเลยครับ

สรุป วันนี้ประเทศเวียดนามเสมือนท้องฟ้าเปิดหลังฝนฉ่ำ เขาได้เปิดกว้างประเทศเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศก่อนใครๆในภูมิภาคนี้ ผมเชื่อว่านักท่องเที่ยวหรือนักธุรกิจหลายคนยังไม่ทราบ

ถ้าหากเขาทราบว่าสะดวกสบายมากในการเข้าไปท่องเที่ยวที่เวียดนาม เขาเหล่านั้นที่อัดอั้นตันใจ ไม่ได้เดินทางมามากกว่าสองปี ทุกคนคงอยากจะเดินทางไปเที่ยวกันแล้ว เพราะประเทศอื่นๆเช่นที่สิงค์โปร์ แม้จะเปิดประเทศแล้วเช่นกัน แต่ค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าเวียดนามมาก

ในขณะที่ประเทศที่มีระดับเดียวกันกับเวียดนาม เช่นไทย จีน ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลีไต้ ฯลฯ ก็ไม่ได้มีการเปิดกว้างขนาดนี้ ดังนั้นกลุ่มที่อยากเที่ยวหรืออยากทำธุรกิจ คงจะได้มีโอกาสเดินทางเข้าไปมากขึ้นแล้วละครับคราวนี้

ซึ่งไทยเราเองได้ประกาศให้เปิดประเทศ โดยไม่ต้องกักตัวตั้งแต่วันที่  1 พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป ผมคิดว่าเรายังไม่ช้าเกินงามที่จะเร่งรองรับนักท่องเที่ยวด้วยเช่นกันครับ