เซอร์ อเล็กซ์และโชลชา กับคำว่า “จุดบอดของผู้นำ”
คอลัมน์ บริหารคนบนความต่าง
แม้มาถึงวันนี้ โอเล่ กุลนาร์ โซลชา ได้กลายเป็นอดีตผู้จัดการทีมฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ในสายตาของแฟนบอลส่วนใหญ่รวมทั้งผู้สนใจในกีฬาฟุตบอลอังกฤษ มีมุมมองว่า การปลดกุนซือ ชาวนอรเวย์ผู้เป็นตำนานนักเตะของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดนั้น ทอดเวลาเนิ่นนานไปที่ทำให้เสียโอกาสในการได้ผู้จัดการทีมที่เก่งๆมานำทีมได้ทันเวลา
ในการแข่งขันฟูตบอลวันแดงเดือดเมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา ในฐานะที่ผมเป็นแฟนบอลลิเวอร์พูล มีความรู้สึกสนุกในการเชียร์ทีมโปรดตอนยิงนำสองลูกแรก แต่พอลูกที่สามสี่ห้า ความรู้สึกเปลี่ยนไปเป็นไม่สนุก รู้สึกเห็นใจทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
และตั้งคำถามว่า ทำไม เกิดอะไรขึ้นกับทีมที่มีศักยภาพที่ไม่ได้ด้อยกว่าผู้เล่นของลิเวอร์พูล ซึ่งคำตอบสุดท้ายที่ผมได้กับตัวเอง ก็ไม่ต่างจากแฟนแมนยูไนเต็ดที่ผมติดตาม ที่ผมรู้จักว่า
เป็นเพราะศักยภาพของผู้จัดการทีมในเวลานั้นที่อาจจะถึงข้อจำกัดของเขาแล้ว และหลายคนคาดว่า หลังพ่ายแพ้อย่างหมดรูปต่อลิเวอร์พูล ผู้บริหารคงจะปลดเขา แต่ผลปรากฎว่า โชลชา ได้อยู่ทำทีมต่อ
ด้วยกระแสข่าวที่เชื่อกันว่า เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตผู้จัดการทีมมากบารมี เป็นคนที่หนุนหลังให้โชลชาได้อยู่ต่อ ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่แฟนบอลจำนวนมากในเวลานั้นไม่สบายใจ ไม่ชอบใจ
หากมองในมุมของภาวะผู้นำ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ท่านเซอร์มีบารมีในฐานะของการเป็นผู้นำอย่างไม่เป็นทางการของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดสูงมาก มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้บริหารตัวจริงไม่ใช่น้อย ซึ่งในอีกแง่มุมหนึ่งของผู้นำที่เป็นข้องพึงระวังคือ ผู้นำ
โดยเฉพาะคนที่เก่งๆ ประสบความสำเร็จ จะมีสิ่งที่เรียกว่า จุดบอด หรือ Blindspot อยู่ไม่มากก็น้อย ในช่วงเวลานั้น สิ่งที่แฟนบอลแมนยูในเต็ดมองเห็นข้อบกพร่องในบทบาทการเป็นผู้จัดการทีมของโซลชากับสิ่งที่ท่านเซอร์มองไม่เห็นหรือเลือกที่จะมองไม่เห็น อาจจะมาจากการมี Blindspot ของผู้นำ ในข้อเหล่านี้ก็เป็นได้
จุดบอดที่ 1: ประเมินความสามารถทางกลยุทธ์ของตนเองเกินกว่าความเป็นจริง
ด้วยกลยุทธ์ในการเลือกผู้จัดการทีม การเลือกคนเข้ามาที่ท่านเซอร์มีอิทธิพลอย่างมีนัยยะสำคัญ ท่านเซอร์อาจจะมองว่า กลยุทธ์ของท่านดีอยู่แล้ว การปลุกปีศาจต้องใช้ปีศาจ เป็นคำคมที่ผมไม่ทราบว่ามาจากใคร แต่สะท้อนกลยุทธ์ของท่านเซอร์ ที่ถูกตั้งคำถามว่า กลยุทธ์นี้ เวลานี้ ใช่หรือไม่
จุดบอดที่ 2: ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตนเองคิดว่าใช่ คิดว่ามากกว่าเรื่องประสิทธิภาพ
จุดบอดข้อนี้จะทำให้ไม่ฟังใคร เชื่อว่า ตนเองถูกเสมอ แน่นอนว่า ยิ่งเป็นผู้มากบารมีอย่างท่านเซอร์ด้วยแล้ว การที่ท่านให้ความเห็น หรือตัดสินใจอะไร เป็นเรื่องที่คนรอบข้างก็ต้องยอม เช่นกรณีโซลชา ที่แฟนบอลหรืออดีตนักเตะมองว่า ขาดประสิทธิภาพ แต่เมื่อผู้นำอย่างท่านเซอร์บอกว่าใช่ คนอื่นก็ต้องถอยไป
จุดบอดที่ 3:ล้มเหลวในการสร้างจุดสมดุลระหว่าง “อะไร” กับ “อย่างไร”
จุดบอดข้อนี้จะทำให้ผู้นำมุ่งไปที่ผลโดยมองข้ามวิธีการ ขั้นตอนที่สำคัญ กรณีนี้ มองเห็นได้จากการที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดต้องการผลลัพธ์ที่ดีในการทำทีม แต่ในเวลานั้นกระบวนการในการไปสู่ผลลัพธ์กลับยังผูกติดกับคนเดิม คำถามคือ แล้วผลลัพธ์จะเปลี่ยนไปได้อย่างไร
จุดบอดที่ 4: มองไม่เห็นว่า สิ่งที่ตนเองทำไปส่งผลต่อผู้ตามหรือคนอื่นๆอย่างไร
กรณีของท่านเชอร์ในเวลานั้นท่านคงยังอยากให้โอกาสกับโซลชาในการทำทีมต่อไป แต่ท่านอาจจะไม่มองหรือมองไม่เห็นว่า การตัดสินใจอย่างนี้ ส่งผลอย่างไรต่อกำลังใจของตัวผู้เล่น ต่อความรู้สึกแฟนบอลทั่วโลก
จุดบอดที่ 5: มองเหตุการณ์ปัจจุบันว่าเป็นเหมือนในอดีต
เป็นเรื่องที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ท่านเซอร์มีความเก่งกาจและยิ่งใหญ่อย่างมากสำหรับโลกฟุตบอลในช่วงเวลาของท่าน แต่ผ่านมาหลายปี สภาพแวลดล้อม เทคนิคการเล่น เทคโนโลยีแตกต่างไปมาก สิ่งที่ท่านเคยมอง เคยใช้ได้ในอดีต อาจจะไม่ตอบโจทย์ปัจจุบันได้ครบถ้วน การมองปัจจุบันว่าไม่ต่างจากอดีต จึงเป็นสัญญานอันตราย
หลังการพ่ายแพ้ในวันแดงเดือดอย่างยับเยินต่อทีมลิเวอร์พูลเมื่อวันที่ 24 ตุลาคมนี้ โชลชายังได้รับโอกาสคุมทีมทำศึกเมียร์ลีคต่ออีกสองครั้ง และพบกับความพ่ายแพ้ทั้งสองครั้งคือ แพ้แมนเชสเตอร์ซิตี้ 2-0 และแพ้วัตฟอร์ด 4-1 ก่อนที่จะถูกปลด แล้วให้ผู้ช่วยของเขามาคุมทีมช่วยคราว รอเวลาให้ราฟ รังนิกเข้ามาเป็นผู้จัดการทีมเต็มตัว
แต่การปลดที่รอให้พ่ายแพ้ต่ออีกถึง 2 เกม ในสายตาของแฟนบอลแล้วมองว่าเป็นการดำเนินการที่ล่าช้าจนเกินไป ให้โอกาสนานเกินไป
และการตัดสินใจที่ล่าช้านี้ ก็อาจเพราะสิ่งที่เรียกว่า จุดบอดของผู้นำ (Leadership Spotblind)” ก็เป็นได้
ข้อมูลอ้างอิง
__________________________________________________________