posttoday

แก้ปัญหาโควิดล้มเหลว....ประเทศติดหล่มไม่เห็นทางออก

05 กรกฎาคม 2564

คอลัมน์ เศรษฐกิจรอบทิศ

ช่วงนี้ไปที่ไหนหนีไม่พ้นเรื่องวัคซีนที่ขยายวงข้ามช็อตไปถึงการบริหารของรัฐบาลว่าระยะเวลาที่ผ่านมามัวไปทำอะไรอยู่สตางค์ก็มี คนเก่งๆ อยู่รอบด้านระดับนายกฯ นั่งหัวโต๊ะรวบกฎหมายมีอำนาจเต็มเบ็ดเสร็จทำไมวัคซีนจึงล่าช้า แถมบางยี่ห้อประชาชนไม่เชื่อถือจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาฉีดสะสมได้ 9,940,439 โดสห่างไกลกับเป้าหมาย 100 ล้านโดส ปัญหาการบริหารจัดการวัคซีนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การแพร่ระบาดช่วงเมษายนถึงมิถุนายนรุนแรงมากว่าเดิมทำให้ “บิ๊กตู่” กลายเป็นหมู่บ้านกระสุนตกทำอะไรติดขัดไปหมด

ขณะที่บิ๊กจากพรรคร่วมรัฐบาลนั่งกระดิกเท้าบอกว่าฉันไม่เกี่ยว ปัญหาการแพร่ระบาดระลอก 4 จากไวรัสสายพันธุ์เดลต้ารุนแรงดุมากกว่าเดิมแต่ละวันเฉลี่ยติดเชื้อ 4-5 พันรายวันศุกร์ที่ผ่านมาพบติดเชื้อ 6,080 คนทำให้ประชาชนตกใจและกังวลใจ อีกทั้งความล่าช้าของวัคซีนไปเกี่ยวข้องภูมิคุ้มกันหมู่ไปผูกติดกับความกังขาว่าทำไมต้องไปผูกขาดกับผู้ผลิตของจีนมีการเรียกร้องให้ปลดหมอใหญ่ที่เป็นกองเชียร์ให้รัฐบาลแต่เรื่องนี้ต้องให้ความเป็นธรรม

ความกังวลใจยังเพิ่มดีกรีจากการที่พบว่าวัคซีนยี่ห้อดังกล่าวบางล็อตมีการเสื่อมคุณภาพยังไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดจากระบบโลจิสติกส์หรือเป็นความผิดพลาดจากโรงงาน กฤตศรัทธาที่เกิดกับรัฐบาลยังเกี่ยวข้องกับมาตรการรับมือ เช่น การปิดแคมป์ก่อสร้างโดยไม่ประเมินผลกระทบรอบข้าง ช่วงเย็นให้สัมภาษณ์ว่าเอาอยู่พอเที่ยงคืนออกกฎหมายปิดแคมป์และห้ามนั่งกิน-ดื่มในร้านอาหารเป็นเวลา 30 วัน พอชาวบ้านออกมาโวยว่าเดือดร้อนหนักเริ่มมีแนวโน้มบอกว่าขอดูสถานการณ์ 15 วันอาจพิจารณาผ่อนปรน คำถามคือทำไมก่อนประกาศจะต้องรู้ถึงผลกระทบรอบด้านไม่ใช่วอกแวกเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเหมือนไม่ได้คิดให้ดีก่อนออกประกาศ

ต้องยอมรับความจริงว่าขณะนี้ประชาชนเดือดร้อนหนักมากเนื่องจากการระบาดเข้าไปถึงครัวเรือนพ่อไปติดแม่ลามไปติดลูกไปติดปู่ย่า-ตายายและคนที่ทำงาน มีการประเมินว่าภายใน 2 สัปดาห์หากแก้ไม่ตรงจุดจะลุกลามมากกว่าที่เป็นอยู่ ปัญหาใหญ่คือเตียงเต็มจนต้องไปรักษาตัวอยู่ที่บ้านเรียกให้ดูเท่ว่า “ISOLATION” แปลว่า “การโดดเดี่ยว” เพราะแพทย์เอาไม่อยู่แล้วขนาดระดับหมอใหญ่รับผิดชอบสาธารณสุขของประเทศในวันประชุมเกณฑ์แพทย์จบใหม่เข้ามาเสริมยังสะอื้นน้ำตาคลอเป็นการบ่งบอกว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร อีกทั้งภาพหญิงชราติดเชื้อไม่มีที่รักษาไปกางมุงหน้าสถานีตำรวจแห่งหนึ่งเป็นภาพที่น่าหดหู่แต่คนใหญ่โตที่รับผิดชอบหัวเราะหน้าบานโชว์สองนิ้ว

ข้อมูลภายในจากบุคลากรทางการแพทย์ระบุว่าหมอ-พยาบาลและคนที่ทำงานท้อแท้และเหนื่อยมากจากคนติดเชื้อที่มีมากกว่าเตียงแม้แต่โรงพยาบาลสนามก็ไม่พอแต่ละวันมีคนรอเตียงทั้งประเภทแดง-เหลือง-เขียวเป็นพันราย การรักษาตัวที่บ้านอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเพราะอาจไปเพิ่มการติดเชื้อมีอาสาสมัครตั้งเพจประสานงานและนักข่าวดัง เช่น คุณสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา (ช่อง 3) ระดมเงินบริจาคมากกว่า 30 ล้านบาทช่วยเยียวยาผู้เดือดร้อนจากโควิดแสดงถึงการด้อยประสิทธิภาพของรัฐ

อีกทั้งการทำงานของศบค.กับสาธารณสุขไปกันคนละทางขาดการประสานงานที่ดีจนส.ส.จากพรรคก้าวไกลจะเสนอญัตติให้ยุบ “ศบค.” ตรงนี้ก็เกินไปหน่อย มาตรการเกี่ยวกับการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนากลายเป็นจุดอ่อนของรัฐบาลถนนทุกสายล้วนไปในทิศทางว่าเป็นความล้มเหลวเป็นต้นตอทำให้มีคนติดเชื้อสะสมทั้งหมดทะลุ 2.65 แสนกว่าคนเสียชีวิตมากกว่า 2,100 คนและมีคนป่วยหนักเกือบสองพันกว่าคน

มีการเรียกร้องกดดันทั้งจากม็อบประท้วงและจากสื่อหลักรวมถึงโซเชียลมีเดียโดยเฉพาะแฮชแท็กร้อนบนสื่อออนไลน์ “#ประยุทธ์ออกไป” ถามว่าออกไปแล้วจะให้ใครมาแทนอย่าให้การแก้ปัญหาโควิดกลายเป็นประเด็นการเมืองเนื่องจากดูแกนนำทั้งพรรคร่วมและฝ่ายค้านยังมองไม่เห็นใครจะมีกึ๋นเข้ามากู้วิกฤตทั้งด้านการแพร่ระบาดที่รุนแรงด้านเศรษฐกิจและวิกฤตความเชื่อมั่น ดูหน้าตาแคนดิเดตที่จะเป็นนายกฯ อาการน่าจะหนักกว่าที่เป็นอยู่สำหรับประเด็นการยุบสภาซึ่งชัดเจนว่า “บิ๊กตู่” คงอยากอยู่ต่อจึงไม่มีเหตุผลว่าจะยุบไปทำไม

การแก้ปัญหาโควิดของรัฐบาลเจอโจทย์ยากซึ่งออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้ล้มเหลวแต่ประชาชนประเมินไปอีกแบบหนึ่งเพราะให้เวลาแก้มานานแล้วยิ่งแก้ยิ่งหนักกว่าเดิมใช้เงินทั้งเก่าและใหม่เกือบ 2 ล้านล้านบาท จากข้อมูลเชิงประจักษ์ทั้งธุรกิจ-มนุษย์เงินเดือน-อาชีพอิสระ-ชาวบ้านเดือดร้อนแสนสาหัสแต่การเปลี่ยนม้ากลางวิกฤตอาจไม่ใช่ทางออก การกดดันให้ยุบสภาเลือกตั้งกว่าจะได้รัฐบาลใหม่ต้องใช้เวลาอีกกี่เดือนและด้วยกลไกรัฐธรรมนูญก็คงได้หน้าเดิมๆ กลับมาหรือจะหน้าใหม่ก็เป็นนักการเมืองเดิมๆ อยู่ดีแล้วจะไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรได้

ผมไม่ใช่ “สลิ่ม” และไม่ค่อยชอบวิธีบริหารประเทศที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้สำหรับประชาชนวันนี้คงไม่มีทางเลือกอะไรมากนัก พลเอกประยุทธ์ฯ นั่งรถถังอาสาเข้ามาบอกว่าเพื่อชาติแต่กลับมาบอกว่าเหนื่อยมากคงบ่นไม่ได้ อีกทั้งต้องยอมรับความจริงว่าประชาชนกลุ่มที่เคยเชียร์ท่านไม่เหมือนเดิมแล้วบางกลุ่มถึงขนาดยอมเปลืองตัวเปิดหน้าออกมาตำหนิ อย่ามองพวกเขาเหล่านั้นเป็นศัตรูการแก้ปัญหาต้องเริ่มจากคนรอบข้างที่สอพลอไม่ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและไม่ช่วยคิด-ไม่ช่วยทำ หากเป็นภาคธุรกิจในยอมวิกฤตเขาจะคัดออกให้หมดเลือกคนเก่งๆ เข้ามาแก้ปัญหา

ในช่วงฝุ่นตลบไม่เห็นทางออกประชาชนจะสับสนขาดขวัญ-กำลังใจและขาดความเชื่อมั่นผู้นำของเขาการสื่อสารกับมวลชนจึงเป็นหัวใจสำคัญ ทีมงานโฆษกของศบค.อาจต้องมีการทบทวนเพราะในช่วงเวลาหนึ่งอาจเหมาะสมต้องการจิตวิทยาไม่ให้คนแตกตื่น แต่ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานไม่ใช่เวลาที่ใช้คนเสียงนุ่มนวลต้องการคนที่สามารถสื่อสารแบบพูดตรงประเด็นมาบอกว่ารัฐบาลกำลังทำอะไร ทำไมต้องทำ วัคซีนจะได้ฉีดวันไหน ติดเชื้อหาเตียงไม่ได้รัฐจะรักษาตัวที่โรงพยาบาลใดรวมถึงทีมโฆษกต้องเป็นศูนย์กลางของข่าวสารหรือประสานงานกับอาสาสมัครที่จะเข้ามาช่วยงานรัฐบาล

การแก้ปัญหาของรัฐบาลที่ผ่านมาจุดอ่อนคือขาดความเป็นมืออาชีพสั่งการแบบทหาร “Single Command” ซึ่งในวิกฤตแบบนี้ใช้ไม่ได้รวมถึงใช้คนไม่เป็น ขาดการทำงานเป็นทีมตลอดจนการสื่อสารเกือบทุกระดับที่ล้มเหลว ผลคือทำให้ภาคเศรษฐกิจ-ธุรกิจและชาวบ้านเหมือนติดหล่มไม่รู้จะหาทางออกฝ่าวิกฤตได้อย่างไร....เอาความจริงมาพูดอย่าโกรธกันนะครับ     

ข่าวล่าสุด

ผ่าต้นทุนยุทโธปกรณ์ งบกองทัพ ศึกไทย-กัมพูชา แตะวันละ 2 พันล้านบาท