posttoday

ผ่าทางตันปาร์ตี้ลิสต์...หลังสงกรานต์เพิ่มดีกรีร้อนแรงกว่าเดิม

15 เมษายน 2562

โดย ดร.ธนิต โสรัตน์   รองประธานสภานายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย

โดย ดร.ธนิต โสรัตน์   รองประธานสภานายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย

บทความนี้ออกมาในช่วงปลายวันหยุดยาวซึ่งปีนี้สงกรานต์เฟสติวัลเป็น “Long Weekend” ต่อเนื่อง 5 วันไม่นับวันลากิจ-ลาป่วยเพิ่มเติมเข้าไปอีก คนไทยทั่วประเทศคงมีความสุขและใช้วันหยุดให้คุ้มค่า หลังจากไปรับลมร้อนซึ่งปีนี้ร้อนจริงๆทั้งการเมืองและอากาศต่างร้อนไม่แพ้กัน พวกที่กลัวรถติดทะยอยกลับกทม.เดินช็อปเย็นๆตามดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ดังๆ ที่โชคไม่ดีช่วงก่อนรับสงกรานต์ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ไฟไหม้ชั้น 8 เป็นเพียงบางส่วนถึงจะเปิดให้บริการแต่คงต้องฟื้นอิมเมจความเชื่อมั่นให้คืนกลับมาก่อน

กลับมาโลกแห่งความเป็นจริงเกี่ยวกับประเด็นยุ่งๆ ของกติกาเลือกตั้งซึ่งกกต. ชี้แจงไม่ค่อยจะเคลียร์กลายเป็นหน่วยงานกระสุนตกถูกอัดรายวัน เป็นประเด็นที่มีความสำคัญเพราะทำหน้าที่เป็นผู้จัดการเลือกตั้งเป็นผู้ถือกติกาแจกใบเตือนชี้เป็นชี้ตายแคนดิเดตส.ส. โดยเฉพาะเป็นผู้กำหนดว่าพรรคใดจะได้ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เท่าใด แต่หากยังมีข้อครรหาหรือข้อสงสัยย่อมมีผลต่อการยอมรับผลการเลือกตั้งที่จะออกมา เหตุเพราะสูตรคำนวณปาร์ตี้ลิสต์สับสนไปหมดแต่ละพรรคการเมืองมีสูตรที่ต่างกัน แม้แต่นักวิชาการก็พูดและคิดไม่เหมือนกัน ไม่ว่าใครจะตีความเป็นอย่างไรต้องยึดตัวบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญซึ่งตัวบทกฎหมายคนร่างยอกย้อนจนทำท่าจะกลายเป็นปมล็อคทางเทคนิค

อันที่จริงจะโทษใครก็ไม่ได้เพราะกกต.ควรต้องดูให้ดีก่อนและประกาศกติกาให้ชัดก่อนเลือกตั้งไม่ใช่ออกมากระตุกกระตักหลังเลือกตั้ง จนที่สุดถึงทางตันเพราะหากยึดตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญบางมาตราขัดแย้งกันเองทำให้ไม่สามารถจัดสรรส.ส.บัญชีรายชื่อได้ครบซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ 150 คน ไม่สามารถประกาศผลเลือกตั้งได้ จนกกต.มีมติเอกฉันท์ส่งศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยซึ่งไม่ทราบว่าศาลจะรับไว้หรือไม่หรือจะตีความวิธีคำนวณควรใช้สูตรแบบใดงานนี้ยุ่งแน่ๆ

ยอมรับว่าขั้นตอนกติกาการเลือกตั้งครั้งนี้ซับซ้อน-ยอกย้อนมากมายเกินกว่าชาวบ้านจะเข้าใจยิ่งมีการตีไข่ใส่สีทำให้บานปลายกลายเป็นกกต.เหมือนไม่เป็นกลาง ทางที่ดีควรต้องชี้แจงแบบง่ายๆให้ประชาชนเข้าใจว่ากฎหมายเลือกตั้งเขามีวีธีคำนวณที่มาที่ไปอย่างไร ไม่ใช่ไปไล่ฟ้องคนที่วิพากษ์วิจารณ์เฉพาะประชาชนที่ลงชื่อถอดถอนเห็นว่ากว่า 8.5 แสนรายฟ้องกันไปฟ้องมาไม่จบกลายเป็นเพิ่มอุณหภูมิให้ร้อนแรงกว่าเดิม ที่ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความโดยส่วนตัวเห็นว่ากกต.มาถูกทางแล้วเพราะช่วงดวงตกพูดอะไรก็ไม่มีใครเชื่อ

หากจะแบ่งกลุ่มพวกที่สร้างความสับสนอาจแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มเริ่มจากพวกสองขั้วใหญ่แย่งชิงเป็นแกนตั้งรัฐบาลต่างอ้างกติกาไม่เหมือนกัน อีกกลุ่มเป็นพวกรุมกินโต๊ะกกต.เพราะหากรวนจนขาดความชอบธรรมหากพรรคตัวเองไม่ได้ประโยชน์ก็ประกาศไม่ยอมรับผลเลือกตั้ง ขณะที่อีกพวกเป็นแคนดิเดตส.ส.หรือบางพรรคการเมืองที่ยังรีๆรอๆว่าจะเป็นงูเห่าเชียร์ข้างไหน บางพรรคทำท่าจะแตกเป็น 2 เสี่ยงพวกหนึ่งจะไปร่วมรัฐบาลกับบิ๊กตู่ อีกข้างจะเป็นฝ่ายค้านอิสระโดยไม่ดูเจตนารมณ์ว่าคนที่เลือกให้ไปทำหน้าที่อะไร

ที่เขียนเช่นนี้ไม่มีอคติใดๆโดยส่วนตัวไม่มีข้างไม่ยึดติดพรรคเพราะเข้าใจดีเคยผ่านเหตุการณ์ความขัดแย้งในองค์กรเอกชนระดับชาติเป็นที่รวมของคนที่มีวุฒิภาวะ, มีการศึกษา, มีฐานะการเงินดี ความขัดแย้งเริ่มจากขั้วที่ต้องการอำนาจและไปปลุกปั่นประชันหน้ากันรู้เหตุผลดีแต่ไม่ยอมรับ ในระดับประเทศเกี่ยวข้องกับประชาชนจำนวนมากส่วนใหญ่เป็นฐานรากซึ่งง่ายต่อการถูกดึงเข้าไป อาจเป็นวิกฤตการเมืองรอบใหม่ที่ผ่านมาทำความเสียหายทางเศรษฐกิจและสร้างบาดแผลทางจิตใจให้กับประเทศชาติมามากแล้ว

หลังจากพักยกช่วงสงกรานต์ปัญหาเดิมๆจะกลับมาแถมเพิ่มดีกรีร้อนแรงกว่าเดิม จะเห็นการแบ่งขั้วหวังช่วงชิงอำนาจทางการเมืองแบบไม่สนใจคุณธรรมและจริยธรรมขอให้เป็นแกนตั้งรัฐบาลลูกเดียว แม้แต่หลายคนเป็นคนเก่งคนดีที่เคยคิดว่าเสียสละเพื่อชาติบ้านเมืองกลับเข้ามาอยู่ในวังวนน้ำเน่า อ้างว่าทำเพื่อบ้านเมืองหากจะช่วยจริงแค่ถอยเพียงก้าวสองก้าวก็ช่วยประเทศชาติให้พ้นจากทางตัน

ประเด็นที่กังวลมากคือผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาบอกได้เลยว่าแย่มากกว่าที่คิด การค้าขายฝืดไปหมดจนสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทยหรือ “TDRI” ล่าสุดออกมาเตือนว่าเศรษฐกิจโลกและไทยจะชะลอตัวลงอีก ขณะที่ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC) ปรับตัวเลขเศรษฐกิจไทยลดจากร้อยละ 3.8 เป็นร้อยละ 3.6 และปรับตัวเลขส่งออกจากร้อยละ 3.4 เหลือร้อยละ 2.7 สอดคล้องกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ “ไอเอ็มเอฟ” ปรับตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศชั้นนำต่างๆ ลงมากกว่าเดิม

ดังนั้นทางตันการตั้งรัฐบาลใหม่ซึ่งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ หากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 คงไม่ใช่เรื่องยากแต่ประเด็นจะอยู่ได้ยากเพราะจำนวนส.ส.ที่ก้ำกึ่ง เสถียรภาพทางการเมืองและความเชื่อมั่นแทบไม่มีตรงนี้จะผ่าทางตันได้อย่างไร ผมไม่รู้เพราะประเทศไทยเวลานี้อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น......แต่ที่แน่ๆคงต้องลุ้นถึงเดือนพฤษภาคมครับ

(สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ทางเว็บไซต์ www.tanitsorat.com หรือ www.facebook.com/tanit.sorat)