รฟท.เปิดช่องร่วมทุน ฮับสุขภาพกลางเมือง

รฟท.เปิดร่วมทุนพัฒนาฮับสุขภาพใจกลางกรุงเทพฯ มูลค่า 3,000 ล้าน คาดกลุ่มทุนเดอะมอลล์ เซ็นทรัล หมอบุญรอชิงเค้ก

แหล่งข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า รฟท.มีแผนเปิดให้เอกชนที่สนใจเข้าร่วมทุนในโครงการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์มูลค่า 3,000 ล้านบาท บนพื้นที่ 100 ไร่ โซนสถานีรถไฟธนบุรี ซึ่งอยู่ในพื้นที่บางกอกน้อย บางขุนนนท์ โดยเบื้องต้นจะแบ่งพื้นที่ 21 ไร่ เพื่อพัฒนาเป็นศูนย์สุขภาพใจกลางเมืองกรุงเทพฯ

ทั้งนี้ ในวันที่ 6-7 มี.ค.นี้ เตรียมเปิดรับฟังความเห็นประชาชนและนักลงทุนในโครงการ ซึ่งคาดว่าจะได้รับความสนใจจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง อาทิ กลุ่มเดอะมอลล์ กลุ่มเซ็นทรัล ตลอดจนกลุ่มบริษัทธนบุรี เฮลท์ แคร์ กรุ๊ป และยังมีหมออีกหลายท่านที่อยู่ในวงการสุขภาพชั้นนำของไทยเข้ามาลงทุนในโครงการดังกล่าวนี้

“เบื้องต้นทราบว่าเดอะมอลล์สนใจ ส่วนกลุ่มเซ็นทรัลยังอยู่ระหว่างการตัดสินใจ โดยรูปแบบการพัฒนาจะเน้นให้บริการด้านการแพทย์ที่ประกอบไปด้วยออฟฟิศ สำนักงานบริการด้านการแพทย์ครบวงจร รูปแบบมิกซ์ยูส เวลเนสเซ็นเตอร์บริการผู้ป่วย ผู้สูงอายุ ให้คำปรึกษาด้านการแพทย์ พื้นที่ส่วนหนึ่งสร้างโรงแรม ศูนย์การค้ารูปแบบช็อปปิ้งมอลล์ขนาดย่อมเพื่ออำนวยความสะดวกผู้ป่วยและญาติผู้ป่วย” แหล่งข่าวระบุ

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ในอนาคตบริเวณดังกล่าวจะเป็นจุดศูนย์รวมการเดินทางของรถไฟฟ้า 3 เส้นทาง คือ สายสีแดงช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช-ศาลายา สายสีส้มช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี และสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยายช่วงบางซื่อ-ท่าพระ ที่มีแผนเร่งเปิดให้บริการในปี 2563 เป็นต้นไป ดังนั้น คาดว่าจะมีปริมาณผู้โดยสารใช้บริการไม่น้อยกว่า 2-3 แสนคน/วัน ขณะที่ในพื้นที่ใกล้เคียงนี้ปัจจุบันมีผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยมาใช้บริการที่โรงพยาบาลศิริราชหลัก 2-3 หมื่นคน/วันขึ้นไป

อย่างไรก็ตาม แผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งขณะนี้ยังเป็นพื้นที่บ้านพักพนักงานรถไฟของสถานีธนบุรี ดังนั้นเงื่อนไขส่วนหนึ่งจึงจัดให้มีการสร้างบ้านพักพนักงานรถไฟและผู้ที่เกี่ยวข้องจำนวน 300 ยูนิต เพื่อทดแทนในพื้นที่เดิมด้วย โดยประการสำคัญคาดว่าโมเดลการร่วมลงทุนดังกล่าวจะกระจายไปในพื้นที่รัศมี 500 เมตร-1 กิโลเมตร (กม.) ตามมาอีกหลายโครงการ

นอกจากนั้น ยังเตรียมพัฒนารูปแบบนี้ไปยังจุดอื่นๆ ต่อเนื่องกันไปด้วย ทั้งแปลง 108 ไร่ ที่ตึกแดงบางซื่อ และที่ใกล้โรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อยกระดับศักยภาพการให้บริการทางการแพทย์ของไทยสู่ระดับนานาชาติต่อไป