posttoday

ดัชนีเชื่อมั่นภาคธุรกิจพ.ย.ดีดขึ้นแตะ 48.3

18 ธันวาคม 2561

ม.หอการค้าไทย เผย ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเดือนพ.ย. ดีดขึ้นอยู่ที่ 48.3 ชี้ ดัชนีหยุดทรุดตัวหลังได้แรงหนุนเที่ยวไฮซีซั่น

ม.หอการค้าไทย เผย ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเดือนพ.ย. ดีดขึ้นอยู่ที่ 48.3  ชี้ ดัชนีหยุดทรุดตัวหลังได้แรงหนุนเที่ยวไฮซีซั่น

นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า จากการสำรวจผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิกหอการค้าไทย 333 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 5 ต.ค.- 25 พ.ย 2561 เพื่อสอบถามถึงความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยประจำเดือนพ.ย. 2561 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยอยู่ที่ 48.3 เพิ่มขึ้นจากเดือนต.ค. 2561อยู่ที่ 48.0 โดยดัชนีความเชื่อมั่นหอการไทยในปัจจุบันอยู่ที่ 46.1 เพิ่มจาก 45.8 และดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยในอนาคตอยู่ที่ 50.5 เพิ่มจาก 50.2

ทั้งนี้ เมื่อสอบถามถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจโดยรวมพบว่าเดือนพ.ย. 2561 ดัชนีอยู่ที่ 48.1 เพิ่มจากต.ค. 2561 อยู่ที่ 47.6 ดัชนีการบริโภค 47.9 เพิ่มจาก 47.4 การลงทุน 47.1 เพิ่มจาก 46.6 การท่องเที่ยว 50.4 ลดจาก 50.5 แต่ยังขยายตัวเกินระดับ 50 ขึ้นไป ภาคเกษตร 43.1 เพิ่มจาก 42.8 ภาคอุตสาหกรรม 49.6 เพิ่มจาก 49.2 ภาคการค้า 48.5 เพิ่มจาก 48.2 ภาคการค้าชายแดน 52.9 เพิ่มจาก 50.7 ภาคบริการ 50.7 เพิ่มจาก 50.4 และการจ้างงาน 46.4 เพิ่มจาก 46.3

สำหรับ ปัจจัยบวกที่ทำให้ความเชื่อมั่นหอการค้าไทยปรับตัวดีขึ้น เป็นผลจากการใช้จ่ายและการลงทุนในปีงบประมาณของรัฐบาล การเติบโตอย่างต่อเนื่องของการท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วงเทศกาลท่องเที่ยวปลายปี การส่งออกยังมีสัญญาณเติบโต การจ้างงานในอุตสาหกรรมบริการเพิ่มขึ้น และราคาสินค้าเกษตรปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะราคาข้าวเปลือก ส่วนปัจจัยลบคือปัญหาควาเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ปัญหาค่าเงินบาทผันผวน ความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวลดลง เป็นต้น

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยในเดือนพ.ย.ปรับตัวดีขึ้น แสดงให้เห็นถึงการหยุดทรุดตัวของดัชนี เป็นผลจากความเชื่อมั่นในภาคการท่องเที่ยวที่นักนักท่องเที่ยวเริ่มกลับมาเที่ยวในช่วงไฮซีชั่น หรือช่วงปลายปี ทดแทนนักท่องเที่ยวจีนที่ปรับตัวลดลง และรายได้ของภาคอุตสาหกรรมและบริการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมถึงราคาสินค้าปรับตัวดีขึ้น ยกเว้นยางพารา และปาล์มน้ำมัน ทำให้ภาคธุรกิจมีความเชื่อว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในอนาคตจะปรับตัวดีขึ้นแน่นอน เพราะค่าดัชนีเกินระดับ 50 ขึ้นไป

“ผลการสำรวจรอบเดือนธ.ค.ว่าจะเห็นทิศทางที่ชัดเจนกว่านี้ เพราะการสำรวจรอบนี้ยังไม่รวมกรณีที่สหรัฐและจีนยุติการขึ้นภาษีสินค้าระหว่างกัน หรือพักรบสงครามการค้าชั่วคราวเป็นเวลา 90 วัน รวมถึงมาตรการเติมเงินบัตรคนจน 500 บาท ที่คนเริ่มกดเงินกันในช่วงเดือนธ.ค. และมาตรการช็อปช่วยชาติที่ให้หักลดหย่อนภาษี 3 สินค้า คือ ยางรถยนต์ หนังสือ และสินค้าโอท็อปทำให้ทั้งปี 2561 คาดว่าจีดีพีจะเติบโตตามที่คาดการณ์ไว้ 4.2% ส่วนปีหน้าจีดีพีโตในกรอบ 4-4.5%” นายธนวรรธน์ กล่าว