posttoday

ลุยแก้ปัญหาราคาปาล์มตกต่ำ ของบ525ล้านดันส่งออก

17 ตุลาคม 2561

กรมการค้าภายใน ลุยแก้ปัญหาราคาปาล์มตกต่ำ เร่งสำนักงบประมาณ เสนอ “บิ๊กตู่” ขอใช้งบกลาง 525 ล้านบาท ดันส่งออก

กรมการค้าภายใน ลุยแก้ปัญหาราคาปาล์มตกต่ำ เร่งสำนักงบประมาณ เสนอ “บิ๊กตู่” ขอใช้งบกลาง 525 ล้านบาท ดันส่งออก

นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงสถานการณ์ราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำในขณะนี้ว่า รัฐบาลมีมาตรการแก้ปัญหาแล้ว โดยจะเร่งรัดดำเนินมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ ด้วยการผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ 300,000 ตัน ตามที่คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ได้มีมติไว้ตั้งแต่เดือนพ.ค.61 โดยรัฐจะสนับสนุนค่าขนส่งให้ผู้ส่งออกกิโลกรัม (กก.) ละ 1.75 บาท คิดเป็นวงเงินรวม 525 ล้านบาท แต่ที่ผ่านมา มาตรการนี้ยังไมได้ดำเนินการ เพราะกระทรวงพาณิชย์ยังไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณที่จะใช้ช่วยเหลือผู้ส่งออก ขณะนี้ได้เร่งรัดการของบประมาณแล้ว หากได้รับการอนุมัติภายในเดือนต.ค.นี้ ก็จะสามารถผลักดันการส่งออกได้ทันที

"ที่ผ่านมา ได้เสนอให้สำนักงบประมาณ ทำเรื่องเสนอขอใช้งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นไปแล้ว 525 ล้านบาท และขอให้นำเรียนนายกรัฐมนตรี พิจารณาเห็นชอบแล้ว ขณะนี้ อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาอนุมัติ คาดว่า จะได้รับการอนุมัติในเร็วๆ นี้ เพราะเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ หากรอให้ผลผลิตปาล์มสดฤดูการผลิตปี 61/62 ออกมา ซึ่งจะออกมากช่วงเดือนพ.ย.-ก.พ.นี้ ก็จะยิ่งทำให้สต๊อกน้ำมันปาล์มดิบในประเทศล้น และกดดันให้ราคาปาล์มสดตกต่ำลงอีก ถ้าสต๊อกน้ำมันดิบในประเทศล้นถึง 600,000 ตันเราจะเอาไม่อยู่"

อย่างไรก็ตาม ในการประชุม กนป.วันที่ 25 ต.ค.นี้ กรมฯจะเสนอให้พิจารณาขยายระยะเวลามาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์ม ออกไปอีก 3 เดือน จากเดิมที่จะสิ้นสุดเดือนต.ค.นี้ เพื่อให้สามารถใช้มาตรการนี้ผลักดันการส่งออกได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ จะเร่งผลักดันให้เพิ่มปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 20 ในรถยนต์บรรทุกขนาดใหญ่ เครื่องจักรกลทางการเกษตร ฯลฯ เพื่อดูดซับน้ำมันปาล์มดิบส่วนเกิน รวมทั้งเสนอให้กระทรวงพลังงาน แก้ไขปัญหาข้อขัดข้องในการใช้น้ำมันบี 20 และมีมาตรการจูงใจให้ผู้ผลิตรถยนต์พัฒนารถยนต์บรรทุกขนาดเล็กให้สามารถใช้น้ำมันบี 20 ได้ด้วย เพื่อรองรับผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบ และรักษาเสถียรภาพราคาผลปาล์มในระยะยาว โดยจะเสนอให้กนป.พิจารณาในการประชุมวันที่ 25 ต.ค.นี้ด้วย

ขณะเดียวกัน จะขอความร่วมมือกระทรวงอุตสาหกรรม เร่งออกประกาศเรื่อง กำหนดวัตถุดิบและคุณภาพผลิตภัณฑ์ของโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม ที่กำหนดโรงงานสกัดเอ ต้องสกัดน้ำมันได้ไม่น้อยกว่า 18% และ โรบี ต้องสกัดน้ำมันได้ไม่น้อยกว่า 30% เพื่อให้มีการบังคับใช้โดยเร็ว

"หากมาตรการเร่งส่งออก และเพิ่มปริมาณการใช้ บี 20 ดำเนินการได้ทันที จะช่วยดึงน้ำมันปาล์มส่วนเกินออกจากสต๊อกได้เดือนละ 120,000-150,000 ตัน และจะทำให้สต๊อกน้ำมันปาล์มดิบในประเทศที่ขณะนี้อยู่ที่ 350,000-380,000 ตัน ลดลงได้ครึ่งหนึ่งภายใน 3 เดือน และมาอยู่ในระดับสต๊อกที่ปลอดภัยที่ 200,000 ตัน"

พร้อมกันนั้น ได้ขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ และชุมพร พิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัด อำเภอ และตำบล เพื่อกำกับและแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มในพื้นที่ และจัดทำข้อตกลง (เอ็มโอยู) การซื้อขายผลปาล์มคุณภาพระหว่างเกษตรกรกับโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม ตามรูปแบบของจังหวัดสุราษฎร์ธานี และสนับสนุนให้กระทรวงอุตสาหกรรม ออกประกาศเรื่อง กำหนดวัตถุดิบและคุณภาพผลิตภัณฑ์ของโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม ที่กำหนดให้โรงสกัดเอ ต้องสกัดน้ำมันได้ไม่น้อยกว่า 18% และ โรงบี ต้องสกัดน้ำมันได้ไม่น้อยกว่า 30% เพื่อไม่ให้โรงงานซื้อปาล์มคุณภาพต่ำ และดึงให้ราคาต่ำลงไปอีก

นายวิชัย กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้ราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำว่า มาจากผลผลิตทั่วโลกเพิ่มขึ้นมาก ส่งผลให้ราคาลดลง โดยล่าสุด ราคาผลปาล์มสดเฉลี่ยจ.ชุมพร สุราษฎร์ธานี กก.ละ 2.90-3.40 บาท เปอร์เซ็นต์น้ำมัน 18% จากก่อนหน้านี้ที่สูงกว่ากก.ละ 3.40 บาท ขณะที่ต้นทุนเกษตรกรอยู่ที่กก.ละ 3.40-3.80 บาท แต่บางพื้นที่ที่ไม่มีโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม ราคาจะต่ำกว่านี้ เพราะเกษตรกรต้องขายให้ลานเท (พ่อค้าคนกลางรวบรวมปาล์มจากเกษตรกรไปขายต่อให้โรงงานสกัด) โดยจะถูกหักค่าขนส่งกก.ละ 0.80-1 บาท ส่วนราคาน้ำมันปาล์มดิบอยู่ที่กก.ละ 17-18 บาท จากก่อนหน้านี้กก.ละ 19 บาท