ศึกการค้าฉุดดัชนีอุตฯ
สงครามการค้าพ่นพิษ ฉุดดัชนี ผลผลิตอุตสาหกรรมเดือน ส.ค.ขยายตัวต่ำสุดรอบ 16 เดือน หวั่นปัจจัยเสี่ยงลากยาว
สงครามการค้าพ่นพิษ ฉุดดัชนี ผลผลิตอุตสาหกรรมเดือน ส.ค.ขยายตัวต่ำสุดรอบ 16 เดือน หวั่นปัจจัยเสี่ยงลากยาว
นายณัฐพล รังสิตพล ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือน ส.ค. 2561 อยู่ที่ 113.04 ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 0.66% ถือว่าเป็นอัตราการขยายตัวที่ต่ำสุดในรอบ 16 เดือน โดยอุตสาหกรรมยาสูบติดลบ 48% และอุตสาหกรรมสุราติดลบ 37% ซึ่งเป็นการติดลบต่อเนื่องตลอดปี รวมทั้งฐานช่วงเดียวกันในปีก่อนอยู่ในระดับสูง
ทั้งนี้ เมื่อดูค่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมรวม 8 เดือนของปีนี้ (ม.ค.-ส.ค. 2561) ขยายตัว อยู่ที่ 3.6% ซึ่งเป็นการขยายตัวที่สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีการขยายตัวอยู่ที่ 1.5% ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตในเดือน ส.ค.อยู่ที่ 65.87% ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เป็นเดือนที่ 4
สำหรับอุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลบวกในเดือน ส.ค. ได้แก่ อุตสาหกรรมน้ำตาลทรายขยายตัว 91.2% เนื่องจากปีนี้มีผลผลิตอ้อยมาก อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 12.39% ขยายตัวตามความต้องการของตลาดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์โลก อุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศ 32.22% เนื่องจากมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีสูงเพื่อขยายฐานลูกค้าในประเทศและการส่งออกที่เพิ่มขึ้น ในญี่ปุ่นและอินเดีย น้ำมันปิโตรเลียม 7.43% ขยายตัวตามทิศทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาใกล้ชิด คือ ผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน มองว่าขณะนี้เป็นได้ทั้งบวกและลบ และมีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อ เพราะการเจรจาของทั้งสองประเทศยังไม่ได้ข้อยุติ ซึ่งหากลากยาวต่อไปจะกระทบทั้งโลก
นอกจากนี้ ต้องจับตาวิกฤตการณ์ เศรษฐกิจและค่าเงินในตลาดเกิดใหม่ที่มี แนวโน้มลุกลามจากผลกระทบสงครามการค้า เนื่องจากตามธรรมชาติเงินจะไหลออกไปหาตลาดที่มีความนิ่งและปลอดภัย โดยเฉพาะค่าเงินจากประเทศที่มีความเสี่ยงมากอย่างอาร์เจนตินา ตุรกี ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ส่งผลให้หลายคนกังวลว่าวิกฤตค่าเงินจะลุกลามไปหลายประเทศมากขึ้น
ทั้งนี้ สศอ.ยังไม่ปรับคาดการณ์ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมปี 2561 โดยยังคงคาดการณ์อยู่ในกรอบ 2.5-3% และคงคาดการณ์จีดีพีอุตสาหกรรมไว้ที่ 3-4% เนื่องจากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีฐานสูง และมองว่า ขณะนี้ยังไม่ใช่จังหวะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพราะไทยยังมีความจำเป็น ต้องลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศต่อเนื่อง