posttoday

ศึกการค้าฉุดดัชนีอุตฯ

26 กันยายน 2561

สงครามการค้าพ่นพิษ ฉุดดัชนี ผลผลิตอุตสาหกรรมเดือน ส.ค.ขยายตัวต่ำสุดรอบ 16 เดือน หวั่นปัจจัยเสี่ยงลากยาว

สงครามการค้าพ่นพิษ ฉุดดัชนี ผลผลิตอุตสาหกรรมเดือน ส.ค.ขยายตัวต่ำสุดรอบ 16 เดือน หวั่นปัจจัยเสี่ยงลากยาว

นายณัฐพล รังสิตพล ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือน ส.ค. 2561 อยู่ที่ 113.04 ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 0.66% ถือว่าเป็นอัตราการขยายตัวที่ต่ำสุดในรอบ 16 เดือน โดยอุตสาหกรรมยาสูบติดลบ 48% และอุตสาหกรรมสุราติดลบ 37% ซึ่งเป็นการติดลบต่อเนื่องตลอดปี รวมทั้งฐานช่วงเดียวกันในปีก่อนอยู่ในระดับสูง

ทั้งนี้ เมื่อดูค่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมรวม 8 เดือนของปีนี้ (ม.ค.-ส.ค. 2561) ขยายตัว อยู่ที่ 3.6% ซึ่งเป็นการขยายตัวที่สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีการขยายตัวอยู่ที่ 1.5% ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตในเดือน ส.ค.อยู่ที่ 65.87% ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เป็นเดือนที่ 4

สำหรับอุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลบวกในเดือน ส.ค. ได้แก่ อุตสาหกรรมน้ำตาลทรายขยายตัว 91.2% เนื่องจากปีนี้มีผลผลิตอ้อยมาก อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 12.39% ขยายตัวตามความต้องการของตลาดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์โลก อุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศ 32.22% เนื่องจากมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีสูงเพื่อขยายฐานลูกค้าในประเทศและการส่งออกที่เพิ่มขึ้น ในญี่ปุ่นและอินเดีย น้ำมันปิโตรเลียม 7.43% ขยายตัวตามทิศทางเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาใกล้ชิด คือ ผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน มองว่าขณะนี้เป็นได้ทั้งบวกและลบ และมีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อ เพราะการเจรจาของทั้งสองประเทศยังไม่ได้ข้อยุติ ซึ่งหากลากยาวต่อไปจะกระทบทั้งโลก

นอกจากนี้ ต้องจับตาวิกฤตการณ์ เศรษฐกิจและค่าเงินในตลาดเกิดใหม่ที่มี แนวโน้มลุกลามจากผลกระทบสงครามการค้า เนื่องจากตามธรรมชาติเงินจะไหลออกไปหาตลาดที่มีความนิ่งและปลอดภัย โดยเฉพาะค่าเงินจากประเทศที่มีความเสี่ยงมากอย่างอาร์เจนตินา ตุรกี ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ส่งผลให้หลายคนกังวลว่าวิกฤตค่าเงินจะลุกลามไปหลายประเทศมากขึ้น

ทั้งนี้ สศอ.ยังไม่ปรับคาดการณ์ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมปี 2561 โดยยังคงคาดการณ์อยู่ในกรอบ 2.5-3% และคงคาดการณ์จีดีพีอุตสาหกรรมไว้ที่ 3-4% เนื่องจากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีฐานสูง และมองว่า ขณะนี้ยังไม่ใช่จังหวะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพราะไทยยังมีความจำเป็น ต้องลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศต่อเนื่อง