เสนอแก้น้ำมันแพง! ยกเลิกเก็บเงินเข้ากองทุน-ลดเก็บภาษีสรรพสามิต

ภาคประชาชนยื่นทางแก้ปัญหาราคาน้ำมันต่อรัฐบาล แนะลดเก็บภาษีสรรพสามิตและเก็บเข้ากองทุน ค้านขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ลดงบสิ้นเปลือง

น.ส.รสนา โตสิตระกูล ตัวแทนเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) เปิดเผยในงานสัมมนา “ปัญหาน้ำมันไทย รัฐจับใครเป็นตัวประกัน” จัดโดยกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย ว่า รัฐจับประชาชนเป็นตัวประกันจากโครงสร้างราคาน้ำมันที่บิดเบือน เพราะขายน้ำมันให้คนไทยแพงกว่าราคาส่งออก 2 บาท/ลิตร

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันไทยแพงกว่ามาเลเซีย จึงเกิดปัญหาการลักลอบขายน้ำมันมาเลเซียในไทย และเมื่อมีการอ้างว่าราคาน้ำมันของไทยแพงกว่าประเทศเมียนมา เพราะต้นทุนค่าแรงสูงกว่าข้อนี้ใช้ไม่ได้ เพราะไทยมีราคาน้ำมันแพงกว่าบางรัฐในสหรัฐอเมริกา

สำหรับการยกเลิกการเก็บเงินกองทุนน้ำมันฯ จะส่งผลให้ราคาน้ำมันถูกลง เพราะปัจจุบันกลไกถูกบิดเบือนมาก มีการเก็บเงินทั้งในช่วงเวลาที่น้ำมันตลาดโลกลดลงและน้ำมันตลาดโลกเพิ่มขึ้น โดยมีการเก็บเงินมาชดเชยเอทานอล ซึ่งเป็นภาระประชาชน กองทุนน้ำมันฯ เป็นตัวถ่างราคาเบนซินให้สูงกว่าตลาดและเป็นตัวหดราคาเอทานอล

นายคริส โปตระนันท์ ผู้จดจัดตั้งพรรคการเมืองอนาคตใหม่ กล่าวว่า ส่วนที่ทำให้ราคาน้ำมันแพงคือ ภาษีสรรพสามิตและเงินส่งกองทุนน้ำมันฯ รัฐตั้งใจบิดเบือนภาษีน้ำมันให้มีราคาแพง เพื่อสนับสนุนการใช้เอทานอล เพราะเอทานอลเป็นหนึ่งในความมั่นคงพลังงาน

“การแก้ปัญหาคือ เลิกภาษีสรรพสามิตน้ำมัน เลิกกองทุนน้ำมันฯ ช่วงสั้นประชาชนต้องเรียนรู้ใช้น้ำมันตามราคาตลาดโลก และเอทานอลที่อุ้มมา 20 ปี แต่แพงควรเปิดให้นำเข้าเสรี เชื่อว่านำเข้าอยู่ที่ 16 บาท/ลิตร จากปัจจุบันราคาในประเทศ 23 บาท/ลิตร ยังไงต้องลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันและไม่เอื้อเอทานอล” นายคริส กล่าว

ร.ท.สุณิสา ทิวากรดำรง ตัวแทนพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นคิดเป็นสัดส่วน 2 ใน 3 ของราคาน้ำมันทั้งหมดที่เหลือ 1 ใน 3 มาจากภาษีสรรพสามิต กองทุนน้ำมันฯ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และอื่นๆ จึงอยากให้ประชาชนทำความเข้าใจองค์ประกอบราคา และอยากให้เลิกอุดหนุนราคาน้ำมันเพื่อให้ประชาชนทราบต้นทุนราคาที่แท้จริง

ขณะที่กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตยได้ยื่นข้อเสนอเรียกร้องรัฐบาล 3 ข้อ ได้แก่ 1.ลดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซหุงต้ม โดยลดเก็บภาษีสรรพสามิตและลดเก็บเข้ากองทุน 2.คัดค้านขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม และ 3.รัฐบาลต้องลดงบรายจ่ายสิ้นเปลืองและฟุ่มเฟือยที่ไม่ก่อให้เกิดการพัฒนาประเทศ