posttoday

ดัชนีเชื่อมั่นมี.ค.ขยับ คลายกังวลเลือกตั้ง

06 เมษายน 2561

หอการค้าไทยเผยดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน มี.ค.อยู่ที่ 79.9 ขยับขึ้นเล็กน้อย จับตาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน

หอการค้าไทยเผยดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน มี.ค.อยู่ที่ 79.9 ขยับขึ้นเล็กน้อย จับตาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือน มี.ค. 2561 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 79.9 จากเดิมที่กังวลว่าดัชนีความเชื่อมั่นจะตกลงต่อเนื่อง ทำให้สบายใจว่าการบริโภคและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะดีขึ้นเรื่อยๆ นอกจากความกังวลเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนจะรุนแรงขึ้น จนทำให้ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ

นอกจากนี้ ค่าดัชนีในเดือน มี.ค.ยังปรับการเพิ่มขึ้นทุกรายการ ทั้งค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ระดับ 66.8 จากระดับ 66.2 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานทำอยู่ที่ระดับ 74.9 จากระดับ 74.2 และดัชนีรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 98 จาก 97.4
"มองสัญญาณแล้วเห็นว่า ความเชื่อมั่นและเศรษฐกิจจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น เพราะปัจจัยลบที่มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นราคาสินค้าเกษตรตกต่ำที่ทำให้กำลังซื้อทรงตัวในระดับต่ำ และกลุ่มผู้ส่งออกที่กังวลเรื่องค่าเงินบาทและสงครามการค้าที่อาจทำให้การเป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายเออร์จีนกระทบยังไม่ได้ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นตกลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2" นายธนวรรธน์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ไม่คิดว่าสงครามการค้าจะเกิดขึ้น เพราะนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาส่งสัญญาณมานานแล้วว่าจะมีมาตรการกับ 16 ประเทศที่เกินดุลการค้า ซึ่งรวมถึงไทยด้วย แต่สำหรับไทยเอง สหรัฐไม่ได้กดดันอะไรมาก เพราะไม่ได้ตั้งใจที่จะกดดันการค้าและทำให้เศรษฐกิจโลกซึมตัวโดยที่ไม่จำเป็น แต่ที่ดำเนินการกับจีนเพราะเกินดุลการค้ากันมาก และน่าจะหวังผลทางการเมือง โดยมองว่าเป็นการตอบโต้กันปกติตามจังหวะข่าว เพื่อเปิดไปสู่การเจรจา เบื้องต้นจึงยังมองว่าไม่รุนแรง แต่เป็นจิตวิทยาเชิงลบที่ต้องเฝ้าระวัง

นอกจากนี้ ความกังวลเรื่องการเลื่อนการเลือกตั้งยังคลายตัวลง ปรับตัวดีขึ้นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน เนื่องจาก เชื่อมั่นว่ากลไกต่างๆ เป็นไปตามโรดแมป จึงทำให้มองว่ามีความมั่นใจมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม สัญญาณการฟื้นตัวยัง เป็นแบบกระจุกตัวอยู่ แต่เชื่อว่าหากรัฐบาลมีการขับเคลื่อนการใช้งบประมาณ กลางปี โครงการไทยนิยมที่มีการจัดซื้อจัดจ้างเพิ่มขึ้นจะส่งผลให้เศรษฐกิจไตรมาส 2 ขยายตัวเกิน 4.2% ทำให้จีดีพีทั้งปีจะอยู่ที่ 4.2-4.6%