posttoday

“สมคิด” ย้ำชัดเศรษฐกิจไทยพร้อมเทคออฟ

07 กุมภาพันธ์ 2561

รองนายกฯ ย้ำชัดเศรษฐกิจไทยพร้อมเทคออฟ พร้อมเดินหน้าแนวทางเติบโตใหม่สร้างสมดุลฐานรากกับอุตสาหกรรมใหม่

รองนายกฯ ย้ำชัดเศรษฐกิจไทยพร้อมเทคออฟ พร้อมเดินหน้าแนวทางเติบโตใหม่สร้างสมดุลฐานรากกับอุตสาหกรรมใหม่

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในการเสวนาหัวข้อ “ไทยแลนด์ เทคออฟ 2018” ซึ่งจัดขึ้นในโอกาสครบรอบ 15 ปีหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ว่า การที่เริ่มมีการกล่าวว่าไทยแลนด์เทคออฟนี้ เป็นการสะท้อนความเชื่อมั่น  และสะท้อนว่าสิ่งที่รัฐบาลทำมาเริ่มเห็นผล ซึ่งยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยไปข้างหน้าและดีขึ้น

ทั้งนี้ ตอนที่เข้ามารับหน้าที่เป็นรองนายกรัฐมนตรีคุมทีมด้านเศรษฐกิจ ได้ประกาศว่าจะทำ 2 เรื่องคือดูแลเศรษฐกิจไม่ให้ทรุดตัว และการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ซึ่งได้เข้าไปขับเคลื่อนทุกจุดเต็มที่ทั้งการทำงาน การลงทุนของทุกกระทรวงและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งตอนนี้ถือว่าพ้นการทรุดตัวมาแล้ว  การส่งออกก็ปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก ปีที่ผ่านมาเติบโตเฉลี่ยได้เกือบ 10%  ปีนี้กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าหมายจะให้เติบโต 6% แต่มองว่าจะเติบโตได้สูงกว่านั้นโดยจะมีการเข้าไปการือกับกระทรวบอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ส่วนที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของความเชื่อมั่น ที่ล่าสุดได้มีการรายงานว่าความเชื่อมั่นผู้บริหารได้ปรับตัวดีขึ้นสูงสุดในรอบ 36 เดือน หรือ 3 ปี  เป็นเครื่องชี้ว่าการบริโภคของเอกชนปีนี้จะดีขึ้น ส่วนการลงทุนจากต่างประเทศนั้นบีโอไอคาดว่าปีนี้จะมีการขอรับส่งเสริมเข้ามาได้สูงถึง 7.2 แสนล้านบาท  ขณะที่การท่องเที่ยวที่เติบโตสูงก็จะได้รับการขับเคลื่อนให้ส่งอานิสงส์ไปถึงชุมชน 

“เศรษฐกิจได้ผ่านจุดที่เรียกว่าทรุดตัวมาแล้ว มีแต่จะเทคออฟ แต่จะเทคออฟเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเราทุกคน พวกผมไม่ใช่พวกเครซี่ตัวเลขจีดีพีว่าปีๆหนึ่งจะต้องโตกี่เปอร์เซ็น ท่านทำนายเท่าไหร่ผมทำให้โตกว่านั้นได้ เช่น 4% ผมก็ทำให้โตกว่า 4% ได้ด้วยเครื่องมือต่างๆ แต่แบบนั้นมันไม่ยั่งยืน ตอนนี้เศรษฐกิจมีจุดที่ต้องซ่อมเพราะเหมือนน็อต สกรูไม่ดี ต้องขันให้แน่น” นายสมคิด กล่าว

รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจนั้นรัฐบาลจะสร้างสิ่งที่เรียกว่า New High(การเติบโตรูปแบบใหม่) โดยการโตแบบ Inclusive Growth(การเติบโตแบบมีส่วนร่วม)  มีความสมดุลของทั้งเศรษฐกิจภายในกับการส่งออก จะมีการเพิ่มศักยภาพทั้งภาคการเกษตร เอสเอ็มอี การท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงกับชุมชน

ส่วนภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกนั้นจะปรับโครงสร้างโดยการสร้างอุตสาหกรรมใหม่โดยมีอีอีซีเป็นเบ้าหลอมที่สำคัญ โดยในสัปดาห์นี้ร่างพ.ร.บ. เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ พ.ร.บ.อีอีซีจะเข้าสู่การพิจารณาวาระสุดท้ายของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)  ซึ่งจะเพิ่มความเชื่อมั่นให้นักลงทุนดึงดูดให้มีการเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ที่แม้จะยังไม่มีกฎหมายยังมีการเข้ามาลงทุนในอีอีซีกว่า 2 แสนล้านบาท

นอกจากนี้ รัฐบาลจะผลักดันเศรษกิจดิจิทัลให้เกิดขึ้นเป็นแรงขับเคลื่อนใหม่ ดึงเอสเอ็มอีให้สามารถเข้าสู่แฟลตฟอร์มการค้าออนไลน์เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้า เหมือนกับที่ประเทศจีนเคยทำได้ สามารถรองรับในช่วงที่ส่งออกตกต่ำแต่การค้าในประเทศยังทำให้เศรษฐกิจเติบโต   เร่งรัดการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ การสร้างบิ๊กดาต้าซึ่งขณะนี้นายกรัฐมนตรีได้กระทุ้งส่วนราชการให้ตื่นตัวเรื่องนี้ 2-3 รอบแล้ว ซึ่งเชื่อว่าบิ๊กดาต้าจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน

รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรณีที่นายกรัฐมนตรีตั้งคณะกรรมการไทยนิยมยั่งยืน ขึ้นก็เพื่อการสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นในระยะยาวโดยมีเป้าหมาย 2 ประการคือลงไปเจาะดูปัญหาและเอาข้อมูลจริงออกมา  และเพื่อให้เกิดการปฏิรูปจริง เพราะการปฏิรูปไม่ได้เกิดในระดับบน แต่ต้องไปขับเคลื่อนระดับประชาชน ต้องไปบอกให้ประชาชนรู้ว่ารัฐบาลทำอะไรจะช่วยประชาชนอย่างไรได้บ้าง ไม่ได้มีเจตนาจะไปหาเสียง ไม่จำเป็นต้องเป็นการเมือง

"รัฐบาลไม่มีเจตนาจะหาเสียงไม่จำเป็นต้องเป็นการเมือง ไปดูที่จันทบุรีและตราดที่เพิ่งไป ครม.สัญจร เขาดีใจที่เราลงพื้นที่ไปเพราะเขารู้ว่าเราทำอะไร ซึ่งไม่ใช่การหาเสียงเลยไม่จำเป็น เพราะไม่มีพรรคการเมอืง แต่ถ้าอนาคตจะมีขึ้นมามันก็เป็นเรื่องของพวงกชะตา พรรคการเมืองต่างๆ ไม่ต้องห่วงใช้เวลาที่ว่างอยู่ตอนนี้ คิดนโยบายดีๆ  แล้วสื่อความไปถึงประชาชนและมาร่วมกับรัฐบาลเพราะพรรคการเมืองทุกพรรคมีเป้าหมายเดียวกันคือการทำเพื่อประชาชนไม่ใช่การมาห้ำหั่นกัน” นายสมคิด กล่าว