posttoday

เล็งใช้วิธีพิเศษ'เมล์เอ็นจีวี'

08 พฤศจิกายน 2560

คมนาคมเดินหน้าวิธีพิเศษ หลังล้มประมูลรถเมล์เอ็นจีวี 4,000 ล้านอีกรอบ เอกชนชี้เสี่ยง ไม่คุ้มค่า

คมนาคมเดินหน้าวิธีพิเศษ หลังล้มประมูลรถเมล์เอ็นจีวี 4,000 ล้านอีกรอบ เอกชนชี้เสี่ยง ไม่คุ้มค่า

รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ความคืบหน้าโครงการจัดซื้อรถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (เอ็นจีวี) วงเงิน 4,020 ล้านบาท ในวันที่ 7 พ.ย. ได้เปิดให้เอกชนยื่นข้อเสนอและเสนอราคาทางระบบจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ (อี-บิดดิ้ง) ของกรมบัญชีกลาง แต่เมื่อสิ้นสุดการเสนอราคาในเวลา 16.30 น. พบว่าไม่มีเอกชนรายใดยื่นข้อเสนอจาก ผู้ซื้อเอกสารประกวดราคาทั้งหมด 8 ราย

แหล่งข่าวจากองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เปิดเผยว่า ขสมก.จำเป็นต้องล้มประมูลโครงการจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี 489 คัน หลังจากที่ไม่มีเอกชนเข้ายื่นข้อเสนอโครงการ โดยหลังจากนี้จะเสนอรายงานเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร (บอร์ด) ในวันที่ 15 พ.ย.นี้ ก่อนเริ่มต้นจัดทำรายละเอียดโครงการใหม่ ทั้งการคิดราคากลางและจัดทำร่างเอกสารประกวดราคา (ทีโออาร์) ต่อไป

นายพิชิต อัคราทิตย์ รมช.คมนาคม กล่าวว่า หลังจากที่ได้รับรายงานว่าไม่มีเอกชนรายใดเข้ายื่นข้อเสนอโครงการจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี 489 คัน ขั้นตอนหลังจากนี้จะต้องรอหนังสือแจ้งผลการจัดซื้ออย่างเป็นทางการจากกรมบัญชีกลาง ก่อนนำเสนอให้นายประยูร ช่วยแก้ว รักษาการผู้อำนวยการ ขสมก. ในฐานะประธานการประมูล เป็นผู้ออกประกาศยกเลิกการจัดซื้อจัดจ้าง โดยคาดว่าจะสามารถประกาศยกเลิกได้ภายในสัปดาห์นี้  และจะรายงานผลให้คณะกรรมการบริหารกิจการ (บอร์ด) ขสมก. รับทราบในวันที่ 15 พ.ย.นี้

"ขสมก.ยังมีแนวคิดจะจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวีครั้งต่อไปด้วยวิธีพิเศษ โดยเชิญผู้ซื้อเอกสารประกวดราคาทั้ง 8 ราย มาเจรจา เนื่องจากเป็นกรณีจำเป็นเร่งด่วน เพราะกระทบต่อแผนปฏิรูปองค์กรและต้องการนำรถออกให้บริการประชาชนโดยเร็ว ซึ่ง พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 เปิดช่องให้สามารถทำได้ แต่ยังต้องศึกษาขั้นตอนและระยะเวลาการดำเนินงานก่อน" นายพิชิต กล่าว

นายสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ช ทวี กล่าวว่า คณะกรรมการบริหารมีมติตัดสินใจ ไม่เดินหน้าเข้ายื่นข้อเสนอโครงการจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี เนื่องจากบอร์ดมองว่าโครงการดังกล่าวมีความเสี่ยงทางด้านความคุ้มค่าและผลอัตราตอบแทนในระยะยาว ไม่เหมาะสมในอัตรากำไรที่จะกลับมา จึงทำให้ราคากลางดังกล่าวยังไม่สามารถเป็นที่ยอมรับได้ในความเห็นของบอร์ด