posttoday

ส่งออก ส.ค.พุ่งสูงสุดรอบ 55 เดือน

21 กันยายน 2560

รมว.พาณิชย์ เผย ส่งออก เดือน สค.ขยายตัว 13.2% สูงสุดรอบ55เดือนมั่นใจทั้งปีโตตามเป้า 7 %

รมว.พาณิชย์ เผย ส่งออก เดือน สค.ขยายตัว 13.2% สูงสุดรอบ55เดือนมั่นใจทั้งปีโตตามเป้า 7 %

เมื่อวันที่ 21 ก.ย. นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกเดือนส.ค.ที่ผ่านมามีมูลค่า 21,224 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ  13.2 สูงสุดในรอบ 55 เดือน เนื่องจากการส่งออกสินค้าเกษตรขยายตัวร้อยละ 24.7 ทั้งข้าว ผัก ผลไม้สดแช่แข็ง ไก่สดแช่แข็ง นอกจากนี้ การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ทั้งเคมีภัณฑ์ น้ำมันสำเร็จรูป คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ขยายตัวสูง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ยางส่งออกขยายตัวถึงร้อยละ  50.5 ประกอบกับกำลังซื้อของประเทศคู่ค้าและภาวะเศรษฐกิจของตลาดหลัก ทั้งสหรัฐ สหภาพยุโรป (อียู) ญี่ปุ่น และจีน ทำให้ 8 เดือนแรกของปีนี้การส่งออกของไทยมีมูลค่า 153,623 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 8.9 จึงมั่นใจว่าจะสามารถผลักดันการส่งออกปีนี้ขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ  7 ตามเป้าหมาย แม้ว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น  แต่สินค้าส่วนใหญ่เป็นคำสั่งซื้อล่วงหน้าที่กำหนดราคาค่าเงินบาทไว้ก่อนแล้ว ดังนั้น การส่งออกช่วงที่เหลือของปียังคงขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่อง

ส่วนการนำเข้าเดือนสิงหาคมมีมูลค่า 19,134 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 14.9 ทำให้ดุลการค้า ส.ค.เกินดุล 2,090 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ภาพรวมการค้าของไทย 8 เดือนแรกยังคงเกินดุลกว่า 8,873 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ด้าน น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้การส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้น มาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญที่ขยายตัวดีขึ้น โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ขณะที่สินค้าเกษตร ปริมาณการส่งออกก็ขยายตัวดีขึ้น ไม่ใช่เพิ่มขึ้นแค่มูลค่า ส่วนสินค้าอุตสาหกรรม ก็ขยายตัวได้ดี ยกเว้นยานยนต์ที่ลดลง เพราะตัวเลขปีก่อน มีปัญหาในเรื่องการลงตัวเลขของเดือนก่อนหน้าที่ลงไม่ทัน ทำให้ตัวเลขมาปูดในเดือนส.ค. ฐานปีก่อนเลยสูง แต่จากนี้ไปจะไม่มีปัญหา และเครื่องปรับอากาศ ที่ส่งออกลดลง จึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะมีการย้ายฐานการผลิตจากไทยออกไป

สำหรับเงินบาทที่แข็งค่าอยู่ที่ระดับ 33-34 บาทต่อเหรียญสหรัฐ สนค. มองว่า ไม่มีผลกระทบต่อการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้ เพราะได้มีการตกลงราคากันไว้ล่วงหน้าหมดแล้ว และเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค ก็ไม่ทำให้ไทยเสียเปรียบ เนื่องจากแข็งค่าทั้งภูมิภาค แต่ก็เป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป