ขยายบีทีเอสตากสิน

คมนาคมสั่งปรับปรุงเส้นทางเดินรถไฟฟ้าสถานีตากสินให้สวนกัน 2 เส้นทาง ขยายชานชาลาพื้นที่สะพาน 2 ฝั่ง คาดเสร็จปี 2562

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า การประชุมปรับปรุงสถานีรถไฟฟ้า สถานีสะพานตากสิน (S6) เพื่อแก้ไขปัญหาคอขวดของรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงสนามกีฬาแห่งชาติ-บางหว้า หรือรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสีลม ร่วมกับกรมทางหลวงชนบท (ทช.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) และตัวแทนจากบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ บีทีเอส เมื่อวันที่ 10 ส.ค. มีมติว่าไม่ย้าย/ทุบสถานีตากสิน แต่จะใช้วิธีปรับปรุงการเดินรถไฟฟ้าให้สามารถเดินสวนกัน 2 ทางได้แทนการเดินรถทางเดียวที่ใช้การสับราง

สำหรับการปรับปรุงจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1.ขยายชานชาลาของสถานีรถไฟฟ้าตากสินทั้งสองฝั่ง คือ ฝั่งไปพระนครและฝั่งไปธนบุรี ขนาดความกว้างฝั่งละ 1.8 เมตร และยาว 230 เมตร ซึ่งจะกินเข้าไปในพื้นที่ของสะพานตากสิน ซึ่งปัจจุบันรถยนต์วิ่ง และ 2.ขยายพื้นที่สะพานตากสินทั้งสองฝั่งทั้งทิศใต้และทิศเหนือออกไปด้านข้าง ขนาดความกว้าง 1.8 เมตร เพื่อเพิ่มพื้นผิวการจราจรให้มีขนาดเท่าเดิม โดยถนนเบี่ยงออกจากแนวเดิมเล็กน้อยแต่ยังมีจำนวนเลนเท่าเดิม

ทั้งนี้ กทม.จะรับผิดชอบงบประมาณในการปรับปรุงขยายสถานี สร้างรางเพิ่ม และขยายสะพานตากสินทั้งหมด รวมวงเงินประมาณ 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบขยายถนน 300 ล้านบาท และที่เหลือ 700 ล้านบาทเป็นงบขยายสถานี โดยได้ตั้งคณะกรรมการร่วม 4 ฝ่าย ประกอบด้วย ทช. กทม. บีทีเอส และ บช.น. เพื่อร่วมกำกับการดำเนินโครงการให้เกิดความรวดเร็ว และไม่กระทบต่อการจราจรในช่วงที่มีการก่อสร้าง

สำหรับการดำเนินโครงการเริ่มตั้งแต่ออกแบบก่อสร้างและก่อสร้างจนถึงเปิดให้บริการ คาดว่าจะใช้เวลารวม 27 เดือน โดยจะออกแบบก่อสร้างร่วมกัน 4 หน่วยงาน คาดใช้เวลา 5 เดือน เริ่มจากวันที่ 1 ก.ย. 2560-31 ม.ค. 2561 จากนั้นก่อสร้างอีก 22 เดือน คาดแล้วเสร็จและพร้อมเปิดให้บริการเต็มรูปแบบได้ช่วงเดือน ธ.ค. 2562 ส่วนการศึกษาผล กระทบด้านสิ่งแวดล้อมเป็นหน้าที่ของ กทม.

นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการและผู้อำนวยการใหญ่สายปฏิบัติการบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (บีทีเอส) กล่าวว่า ความคืบหน้าในการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี วงเงิน 5.4 หมื่นล้านบาท และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง วงเงิน 5.2 หมื่นล้านบาท อยู่ระหว่างการรอส่งมอบพื้นที่จากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) คาดจะเริ่มเข้าพื้นที่และก่อสร้างได้เดือน ม.ค.ปีหน้า