posttoday

ครม.อนุมัติผลคัดเลือกเอกชน โครงการรถไฟฟ้าแสนล้าน

30 พฤษภาคม 2560

ครม.อนุมัติผลคัดเลือกเอกชน-ร่างสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง

ครม.อนุมัติผลคัดเลือกเอกชน-ร่างสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู  ช่วงแคราย-มีนบุรี และสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชนและร่างสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู  ช่วงแคราย-มีนบุรี  34.5 กม. วงเงิน 5.4 หมื่นล้านบาท และสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง  ระยะทาง 30.4 กม. วงเงิน 5.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีผู้ชนะการประมูลคือ BSR Joint Venture ประกอบด้วย บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด(มหาชน) หรือ BTS Group บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH และบริษัทซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน)หรือ STEC  พร้อมกับอนุมัติให้สำนักงบประมาณจัดสรงบประมาณรายจ่ายประจำปีในลักษณะการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีไม่เกิน 5 ปี  คาดว่าจะลงนามในสัญญาได้โดยเร็วที่สุด  ภายในเดือน มิ.ย.นี้ก่อนเดินหน้าก่อสร้างเป็นเวลา3ปี3เดือน

นายอาคม กล่าวต่อว่า ส่วนสัญญาส่วนต่อขยายเพิ่มเติมที่กลุ่มเอกชนได้เสนอเพื่อเชื่อมรถไฟฟ้าสายสีชมพูจากถนนแจ้งวัฒนะเข้าไปยังอาคารอิมแพคและทะเลสาบในเมืองทองธานี  2.8 กม.  และเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ต่อเชื่อมจากสถานีลาดพร้าว MRT  ผ่านหน้าศาลอาญาไปเชื่อมกับรถไฟฟ้าสายสีเขียวบริเวณแยกรัชโยธิน 2.6 กม. ว่า สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีข้อสังเกตว่า ส่วนเชื่อมต่อดังกล่าวไม่ได้อยู่ในกรอบมติครม.ที่อนุมัติไว้เมื่อวันที่  29 มี.ค.2559   แต่ในร่างประกาศเชิญชวนเอกชนได้กำหนดให้มีการยื่นข้อเสนออื่นๆ  ดังนั้นจะไม่มีการนำข้อเสนอดังกล่าวใส่ไว้ในแนบท้ายของสัญญา แต่จะเขียนไว้ในภาพกว้างๆรวมไว้ในสัญญาหลักภายใต้เงื่อนไขว่าจะต้องมีการศึกษาความเหมาะสมของโครงการ และดำเนินการตามขั้นตอนของ พรบ.ร่วมทุน 2556 เป็นการกำหนดไว้แบบกว้างๆ

"เนื่องจากโครงการนี้ยังไม่มีรายละเอียดผลการศึกษาความเหมาะสมของโครงการ ต้องมีการออกแบบและศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) มีการจัดหาพื้นที่ มีการหารพื้นที่ว่าเป็นพื้นที่ของหน่วยงานใดและมีพื้นที่เอกชนบางส่วน  ไม่ได้ตัดข้อเสนอนี้ แต่จะต้องไปทำการศึกษาให้เรียบร้อยก่อน"นายอาคมกล่าว

ด้านนายธีรพันธ์ เตชะศิรินุกูล  รักษาการผู้ว่ารฟม. กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตั้งข้อสังเกตว่าข้อเสนออื่นๆไม่ควรกำหนดไว้เป็นแนบท้ายของสัญญา   จึงได้มีการพิจารณาและกำหนดไว้ในสัญญาหลักข้อที่ 36. 9  ว่าด้วยกรณีที่เป็นข้อเสนอเพื่อประโยชน์ต่อการให้บริการ โดยทางเกชนต้องมีการศึกษาความเหมาะสมของโครงการและจัดทำรายงาน EIAเอง จากนั้นจึงจะมีการวิเคราะห์รายละเอียดโครงการ และต้องดำเนินการตาม พรบ.ร่วมทุน 2556  หากเห็นว่าเป็นโครงการที่มีความเหมาะสมและเป็นประโยชน์ก็สามารถที่จะเจรจาโดยจะให้มีการรวมไว้ในสัญญานี้  ซึ่งจะเป็นขั้นตอนของคณะกรรมการตามมาตรา 43 ในพรบ.ร่วมทุน 2556 ที่จะเข้ามารับผิดชอบในการเจรจาต่อไป

"สรุปว่าการดำเนินการส่วนต่อขยายทั้ง 2 โครงการนี้ จะต้องดำเนินการตามขั้นตอน โดยกำหนดกรอบว่าจะต้องจัดทำรายละเอียดตามขั้นตอนและเสนอขออนุมัติจาก ครม.ภายในกรอบเวลา 3 ปี 3 เดือน  หากไม่ดำเนินการภายในกรอบเวลาก็ถือว่าเป็นการยกเลิกข้อเสนอนี้ไป  ส่วนการก่อสร้างจะดำเนินการหลังจากอนุมัติโครงการได้"นายธีรพันธ์กล่าว

อย่างไรก็ตามในส่วนของค่าใช้จ่ายในการศึกษาความเหมาะสมโครงการ  การจัดทำ EIA  การเวนคืนที่ดินต่างๆ รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง เอกชนจะต้องรับภาระทั้งหมด ซึ่งเป็นไปตามผลการเจรจากับเอกชนก่อนหน้านี้  แต่ในสัญญาข้อ 39.6 จะไม่ได้กำหนดรายละเอียดใดๆ นอกจากระบุว่าข้อเสนอเพิ่มเติมจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนกระบวนการที่กำหนด