posttoday

นักธุรกิจเอเชียให้คสช.สอบผ่าน-อย่าอยู่นานเกิน 3 ปี

21 สิงหาคม 2557

ม.ธุรกิจบัณฑิตย์เผยโพลสำรวจนักธุรกิจเอเชีย 5 ชาติ ให้คสช.สอบผ่านเทอมแรก แต่ไม่ควรอยู่นานเกิน 3 ปี พร้อมรอดูผลงานเทอมสองเข้าตาหรือไม่

ม.ธุรกิจบัณฑิตย์เผยโพลสำรวจนักธุรกิจเอเชีย 5 ชาติ ให้คสช.สอบผ่านเทอมแรก แต่ไม่ควรอยู่นานเกิน 3 ปี พร้อมรอดูผลงานเทอมสองเข้าตาหรือไม่

นายเกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสังคมและเศรษฐกิจ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เปิดเผยถึงผลสำรวจเศรษฐกิจไทย การเมืองไทยในสายตานักธุรกิจเอเชีย 5 ชาติ ที่ประกอบด้วย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้และมาเลเซีย จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 600 คน พบว่า นักธุรกิจเอเชียส่วนใหญ่ 88.2% เชื่อมั่นต่อการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เพราะมีโครงการเร่งด่วนต่างๆ ออกมาเพื่อเร่งแก้ปัญหา ดังนั้นจึงต้องรอดูผลงานของคสช.ในเทอม 2 ว่าจะสามารถวางพื้นฐานให้เศรษฐกิจการเมืองไทยเดินหน้าต่อไปได้อย่างแข็งแกร่งหรือไม่

นอกจากนี้นักธุรกิจเอเชียทั้ง 5 ชาตินี้ ยังมองว่า คสช.ไม่ควรอยู่นานเกิน 3 ปี เพราะมองว่าหากไปเร็วเกินไปก็อาจทำให้ปัญหาความขัดแย้งต่างๆ กลับมาอีก แต่หากอยู่นานเกินไปก็จะสร้างความไม่เชื่อมั่นในสายตานักลงทุนต่างชาติได้ แต่ส่วนตัวแล้วมองว่า คสช.ไม่ควรจะอยู่เกิน 2 ปี เพราะเกรงว่าจะกระทบต่อเกมการค้ากับคู่ค้าต่างประเทศ ที่อาจจะนำมาใช้เป็นข้ออ้างในการเจรจาการค้าได้

สำหรับรัฐบาลใหม่ในมุมมองของนักธุรกิจเอเชียนั้น ต้องการให้รัฐบาลแก้ไปพร้อมๆ กันทั้ง 2 ด้านคือ การดับไฟแก้ปัญหาความขัดแย้ง ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างบ้านให้แข็งแรงทั้งสร้างความสามัคคีและสร้างความอยู่ดีกินดีให้เกิดขึ้น รวมทั้งต้องเป็นบ้านที่พร้อมจะต้อนรับแขกด้วย

ทั้งนี้ นักธุรกิจเอเชียส่วนใหญ่ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับการเมืองภายในของไทย แต่ขอแค่ให้เป็นคนที่เข้ามาแล้วตั้งใจทำงานจริง โดยจะให้เวลาทำงาน 60 วันก่อนว่ามีผลงานเข้าตาหรือไม่ เพราะหากผลงานเข้าตาก็ไม่สนว่าจะมาจากสายหรือสีไหน นอกจากนี้สิ่งที่นักธุรกิจเอเชียมองว่ารัฐบาลใหม่ที่เข้ามาจะต้องเร่งแก้ปัญหาเรื่องค่าครองชีพ ปฎิรูปพลังงาน พัฒนาด้านการศึกษา เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน และการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อเสริมศักยภาพและความได้เปรียบในการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน

อย่างไรก็ดี นักธุรกิจเอเชียยังเชื่อมั่นในเศรษฐกิจของไทย โดยมองว่าตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (จีดีพี) ของประเทศไทยปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 2.5-2.7% เพราะถ้ามีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณจากภาครัฐเข้ามาโดยเร็วตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3-4 ของปีนี้ ก็จะเป็นตัวกระตุ้นให้ดึงจีดีพีไทยปีนี้กลับมาอยู่ที่ระดับ 2.5% ได้ ส่วนปีหน้ามองว่า เศรษฐกิจจะดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3-3.5% ได้

นายเกียรติอนันต์ กล่าวว่า จากการสำรวจพบว่า นักธุรกิจเอเชียส่วนใหญ่มองข้ามปัญหาเรื่องค่าครองชีพและอัตราเงินเฟ้อไป เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่นักธุรกิจจะต้องเตรียมพร้อมรับมือไว้อยู่แล้ว แต่มองว่า ปัญหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นปัญหาหลักที่จะต้องเร่งแก้ไข เพราะจะเป็นตัวเลือกธุรกิจที่จะเข้ามาอยู่ในประเทศ ขณะเดียวกันก็ต้องปฎิรูปการศึกษาเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่มีคุณภาพ ซึ่งหากสามารถแก้ปัญหาทั้งสองข้อนี้ได้ ก็จะทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีเสน่ห์ในการเข้ามาลงทุนของนักธุรกิจต่างชาติมาก